รู้จักการตลาดสายมู (Muketing) กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วยความเชื่อ
“อยากปังต้องมู!”
ประโยคนี้ไม่ใช่แค่คำพูดติดปาก แต่กลายเป็นปรัชญาชีวิตที่ขับเคลื่อนผู้คนมากมายในยุคนี้ เนื่องจากผู้คนยุคปัจจุบันหันมาพึ่งพาความเชื่อ ศาสตร์ลี้ลับ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเสริมดวงชะตาและเรียกความสำเร็จให้เข้ามาในชีวิตมากมาย ดังจะเห็นได้จากกระแสการไหว้พระตามที่ต่าง ๆ เพื่อไปบนขอพร หรือการเช็คดวงตัวเองเป็นประจำทุกปี!
ทั้งนี้ ถ้าจะให้สังเกตดี ๆ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา กระแสการมูเสริมชะตาไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนทั่วไปเท่านั้น แต่แบรนด์และธุรกิจหลายเจ้าก็นำเรื่อง “สายมู (Mutelu)” มาใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยกลยุทธ์นี้กำลังมาแรงอย่างมากและเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Muketing (มูเก็ตติง) หรือการตลาดสายมู!
กลยุทธ์ Muketing คืออะไร? แล้วทำไมถึงได้เป็นกระแสที่มาแรงในโลคยุคดิจิทัลตอนนี้ มาหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ได้เลย!
Table of Contents
การตลาดสายมู (Muketing) คืออะไร?
“การตลาดสายมู” หรือ “Muketing” มาจากคำว่า Marketing + Mutelu ซึ่งก็คือการผสมผสานกลยุทธ์ทางการตลาดเข้ากับความเชื่อและศรัทธา เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย กระตุ้นการซื้อขาย และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เทรนด์นี้ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงอย่างมากในยุคปัจจุบัน สะท้อนให้เห็นถึงพลังของ “ความเชื่อ” ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค
กลยุทธ์นี้อาจเรียกว่าเป็น Emotional Marketing ก็ได้ เนื่องจากเป็นการตลาดที่เล่นกับอารมณ์และความรู้สึกในการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งนี้ แม้การตลาดสายมูจะสามารถสร้างประสบการณ์ร่วมและดึงให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การตลาดประเภทนี้ก็มีข้อควรระวังในเรื่องความเชื่อและความศรัทธาของผู้คนอยู่ ดังนั้น การใช้กลยุทธ์นี้ทำการตลาดจึงไม่ควรสักแต่จะขายของหรือสร้างกำไร แต่ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องความจริงใจต่อผู้บริโภคด้วยเช่นกัน!
กลยุทธ์ Muketing ดีอย่างไร? ทำไมธุรกิจถึงหันมาใช้กลยุทธ์นี้เพิ่มมากขึ้น
1. ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ผลสำรวจจากสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในหัวข้อ “พฤติกรรมคนไทยกับความเชื่อเรื่องโชคลาง” พบว่า คนไทยกว่า 70% เชื่อเรื่องโชคลาง และมีแนวโน้มที่จะใช้สินค้าและบริการที่ช่วยเสริมดวงชะตามากกว่าสินค้าอื่น ๆ (สวนดุสิตโพล, 2566)
ทั้งนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่มีความหลากหลาย มีทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อเรื่องโชคลาภ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนต้องการ “ความมั่นใจ” ในชีวิต การตลาดสายมูจึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ เนื่องจากการเสนอสินค้าและบริการที่ช่วยเสริมดวงชะตา จะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกสบายใจ และพร้อมเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ
ตัวอย่างพฤติกรรมผู้บริโภคสายมู:
- หาข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์ลี้ลับต่าง ๆ เช่น โหราศาสตร์ ไพ่ทาร์รอต ฮวงจุ้ย การบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- ซื้อสินค้าและบริการที่ช่วยเสริมดวงชะตา เช่น วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง สินค้าที่ผ่านพิธีกรรม
- เข้าร่วมกิจกรรมและเวิร์กช็อปเกี่ยวกับสิ่งมงคล
- แชร์ประสบการณ์และบอกต่อสินค้าและบริการสายมู
2. สร้างจุดแข็งให้กับแบรนด์ได้
ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูง การตลาดสายมูสามารถสร้าง “จุดเด่น” ให้กับแบรนด์ได้ ทั้งยังสามารถดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายและทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ โดยกลยุทธ์นี้จะช่วยสร้าง “Brand Differentiation” หรือแยกแบรนด์ออกจากคู่แข่ง จากการสร้างภาพลักษณ์ที่แตกต่างและน่าสนใจ
3. ช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ
กลุ่มคนสายมูเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และมีความศรัทธาสูง ดังจะเห็นได้จากรายงาน “The Rise of M-Commerce in Southeast Asia” ของ iPrice Group พบว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสินค้าสายมูเป็นหนึ่งในหมวดหมู่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด (iPrice Group, 2566) ดังนั้น กลยุทธ์สายมูจึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ที่อาจช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่ ๆ ที่แบรนด์อาจไม่เคยเข้าถึงมาก่อนได้
ตัวอย่างกลุ่มเป้าหมายสายมู
- คนวัยทำงานที่ต้องการเสริมดวงชะตาในด้านการเงิน การงาน ความรัก
- นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการเสริมดวงชะตาด้านการเรียน
- พ่อค้าแม่ค้าที่ต้องการเสริมดวงชะตาด้านการค้าขาย
4. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
การตลาดสายมูสามารถช่วย “เพิ่มยอดขาย” สร้างรายได้ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์ได้ โดยแบรนด์อาจใช้เรื่องการมูเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้ทั้งรูปแบบของการผลิตสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการ โดยอาจออกแคมเปญทางการตลาดที่ผสมผสานความเชื่อและศาสตร์ลี้ลับ รวมไปถึงการร่วมมือกับ Influencer สายมูโดยตรง (เช่น หมอดูชื่อดัง) เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการ
ขั้นตอนการทำกลยุทธ์ Muketing อยากเริ่มต้องทำอย่างไร?
1. รู้จักกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับกลยุทธ์ Muketing ขั้นตอนแรกที่แบรนด์จะขาดไปไม่ได้ก็คือการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตนเองอย่างลึกซึ้ง แบรนด์ควรวิเคราะห์ว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความเชื่อแบบไหน นิยมบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไร เพื่อช่วยให้แบรนด์เลือกใช้กลยุทธ์ที่ตรงใจลูกค้า สร้างการดึงดูดและกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า/บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เลือกใช้กลยุทธ์ Muketing ที่เหมาะสม
กลยุทธ์ Muketing มีหลากหลายรูปแบบ แบรนด์จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสินค้า/บริการ กลุ่มเป้าหมาย และงบทางการตลาดที่มี
ตัวอย่างกลยุทธ์ Muketing
- การทำสินค้า Limited Edition: ออกแบบสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานความเชื่อเข้าไป เช่น เครื่องรางของขลัง เสื้อยืดลายเทพเจ้า หรือสินค้าที่ผ่านพิธีกรรม
- การจัดกิจกรรม: จัดกิจกรรมมูเตลู เช่น แจกวัตถุมงคล บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา
- การทำ Content: สร้าง Content เกี่ยวกับความเชื่อ ศาสตร์ลี้ลับ นำเสนอในรูปแบบที่น่าสนใจ เช่น บทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก
- การใช้ Influencer สายมู: ร่วมมือกับ Influencer สายมูที่มีชื่อเสียง เพื่อให้พวกเขาช่วยโปรโมตสินค้าและบริการ
- การทำ Sponsorship: สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนา ความเชื่อ
3. สร้าง Content ที่ตรงใจ
Content ที่ดีจะช่วยดึงดูดความสนใจ และสร้างการจดจำแบรนด์ได้ โดยแบรนด์อาจสร้างคอนเทนต์ลงบนเว็บไซต์ส่วนตัว หรือหน้าโซเชียลมีเดีย โดยหากทำได้น่าสนใจ ก็มีโอกาสที่คอนเทนต์นั้น ๆ จะเป็นไวรัล และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าสายมูได้มากขึ้น
ตัวอย่าง Content สายมู
- บทความ: ให้ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ ศาสตร์ลี้ลับ เคล็ดลับเสริมดวง
- วิดีโอ: รีวิวสถานที่มูเตลู วิธีการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- อินโฟกราฟิก: สรุปข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อ เคล็ดลับเสริมดวง
- ไลฟ์สด: พูดคุยกับอาจารย์สายมู ตอบคำถามเกี่ยวกับความเชื่อ
4. เลือก Influencer สายมูที่เหมาะกับแบรนด์
Influencer สายมูที่มีชื่อเสียง มีฐานแฟนคลับที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำขึ้น โดยแนะนำให้พิจารณาทั้งจำนวนผู้ติดตาม กลุ่มเป้าหมาย คอนเทนต์ และภาพลักษณ์ไปพร้อมกัน
5. วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์
หลังทำแคมเปญสำเร็จ แบรนด์อาจใช้เครื่องมือ Analytics ในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย ยอด Engagement ยอด Reach ไปจนถึงการติดตามฟีดแบ็ก เพื่อที่จะนำข้อมูลมาปรับคอนเทนต์ให้ตรงใจลูกค้า และปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์
ตัวอย่างการใช้กลยุทธ์ Muketing ของแบรนด์ดัง
แบรนด์เครื่องสำอาง
- Maybelline: ออกลิปสติกคอลเลกชัน “Maybelline Fit Me Matte + Mellow ลิปสติกมงคล”
- L’Oreal: จัดกิจกรรม “L’Oreal Paris เสริมดวงรับปีใหม่” แจกวัตถุมงคล
- NARS: ร่วมมือกับ Influencer สายมู รีวิวสินค้าพร้อมบอกเคล็ดลับเสริมดวง
แบรนด์แฟชัน
- Pomelo: จัดโปรโมชัน “Pomelo มูเตลู ชอปปิงเสริมดวง”
- Jaspal: ร่วมมือกับ Influencer สายมู ถ่ายแฟชันเซ็ตพร้อมบอกเคล็ดลับเสริมดวง
แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม
- MAMA: ออกซองก๋วยเตี๋ยวรส “ต้มยำกุ้งมหาลาภ”
- Nestle: จัดกิจกรรม “Nestle Lucky Draw ลุ้นรับรางวัลมงคล”
ข้อควรระวังสำหรับการใช้กลยุทธ์ Muketing
1. หลีกเลี่ยงการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง
แม้จะเป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับความเชื่อของลูกค้า แต่แบรนด์ก็ไม่ควรใช้โฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวง หรือสร้างความงมงาย เพราะนอกจากจะผิดจริยธรรม จนแบรนด์อาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดี การกระทำแบบนี้ยังอาจผิดกฎหมาย ข้อหาโฆษณาเกินจริงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคด้วย
2. คุณค่าของสินค้าและบริการสำคัญไม่แพ้ความเชื่อ
การตลาดสายมูที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้ใช้ความเชื่อเป็นจุดขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเน้นคุณค่าของสินค้าและบริการควบคู่ไปด้วย เพราะหากสินค้าและบริการมีคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้งานจริง ก็จะช่วยสร้างความพึงพอใจ จนส่งผลให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำ
3. เคารพความเชื่อที่หลากหลายในสังคม
การทำการตลาดสายมูให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเคารพความเชื่อในสังคมที่หลากหลายด้วย โดยแบรนด์ควรระวังเรื่องการทำการตลาดที่อาจส่อให้เห็นถึงการดูถูก ลบหลู่ หรือล่วงละเมิดความเชื่อของผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบและเหมารวมว่าคนสายมูจะต้องงมงาย และนำเสนอสินค้า/บริการให้หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้แบรนด์มีจุดยืนของการเคารพสิทธิผู้อื่น และเข้าถึงลูกค้าที่มีความเชื่อหลากหลายได้แล้ว
แนวโน้มของเทรนด์การตลาดสายมูในอนาคต
Muketing กำลังกลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่น่าจับตามองมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเทรนด์ที่น่าสนใจมีดังนี้
- การใช้ AI และ Big Data: แบรนด์จะใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า พฤติกรรม และความเชื่อ เพื่อสร้างกลยุทธ์ Muketing ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น
- การใช้ AR และ VR: แบรนด์จะใช้ AR และ VR เพื่อสร้างประสบการณ์ Muketing ที่แปลกใหม่เพื่อดึงดูดใจลูกค้า
- การใช้ Influencer Marketing: แบรนด์จะใช้ Influencer Marketing ร่วมมือกับ Influencer สายมูที่มีชื่อเสียง เพื่อโปรโมตสินค้า/บริการในรูปแบบใหม่ ๆ
- การใช้ Content Marketing: แบรนด์จะใช้ Content Marketing สร้าง Content เกี่ยวกับความเชื่อ ศาสตร์ลี้ลับ เคล็ดลับเสริมดวง เพื่อดึงดูดใจลูกค้า
สรุป
เทรนด์การตลาดสายมู ถือเป็นเทรนด์ที่ตอบโจทย์คนไทยและน่าสนใจสำหรับต่อยอดธุรกิจในอนาคต ทั้งนี้ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่อยากลองนำเทรนด์นี้ไปปรับใช้กับธุรกิจตนเองบ้าง สามารถปรึกษา Primal Digital Agency ของเราได้เลย เราคือเอเจนซีการตลาดที่พร้อมออกแบบทุกกลยุทธ์เพื่อธุรกิจคุณโดยเฉพาะ พิสูจน์ผลลัพธ์กับเราด้วยการกรอกรายละเอียดเพื่อพูดคุยกับเราตอนนี้!
Join the discussion - 0 Comment