วิธีเขียน Resume สมัครงาน ทำอย่างไรให้น่าสนใจ HR ไม่ปัดทิ้ง
เชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ต้องรู้จัก “Resume (เรซูเม่)” ที่ใช้สมัครงานกันอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีเขียน Resume ที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าใครอยากจะนำเสนออะไรเกี่ยวกับตนเองให้ผู้รับสมัครงานทราบบ้าง อันที่จริง การเขียน Resume ก็ไม่ได้มีหลักการตายตัวว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าถูก หรือผิด แต่อย่างที่เรารู้ งานหนึ่งงานไม่ได้มีผู้สมัครแค่คนเดียว ยิ่งบริษัทใหญ่ ๆ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR (Human Resource) ยิ่งต้องนั่งอ่าน Resume วันละหลักร้อยฉบับ ดังนั้น การทำให้ Resume ของเราโดดเด่นกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ จึงสำคัญ เพื่อที่จะได้ไม่ถูกปัดทิ้งออกนอกลิสต์ของผู้สมัครที่บริษัทควรเก็บไว้พิจารณา
สมัยนี้ แค่เซิร์ช Google เราก็จะได้ฟอร์แมตของการเขียน Resume มาหลากหลายรูปแบบ แต่บางทีการทำตามแพตเทิร์นเหล่านั้นก็ไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไป หากเรายังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ผู้รับสมัครต้องการจะเห็นอะไร และ Resume ของเราควรนำเสนอสิ่งใดบ้าง
บทความนี้จะมาบอกวิธีเขียน Resume สมัครงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกเลือก สำหรับใครที่เคยทำตามแค่ฟอร์แมตสำเร็จรูป แต่ยังไม่เคยทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Resume อย่างจริงจังเลย บทความนี้มีคำตอบของทุกอย่างที่ควรรู้มาให้แล้ว !
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องวิธีเขียน resume ให้น่าสนใจ เรามาดูและทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันอีกครั้งว่า Resume คืออะไร
Table of Contents
Resume คืออะไร
Resume (เรซูเม่) คือ ประวัติส่วนบุคคลโดยย่อ มีจุดประสงค์เพื่อใช้นำเสนอตนเองให้ผู้อ่านรู้จักเราคร่าว ๆ ภายในหนึ่งหน้ากระดาษ ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยประวัติของตนเอง เช่น ชื่อ-สกุล ช่องทางการติดต่อ การศึกษา ประวัติการทำงาน หรือประสบการณ์ในสายอาชีพ ทักษะ ความสามารถ แล้วสรุปเป็นข้อ ๆ ให้อ่านง่าย เวลาไปสมัครงาน HR ที่มักใช้เวลาในการกรองเอกสารอย่างรวดเร็วจะได้สามารถเห็นรายละเอียดที่เราต้องการจะบอกได้ครบถ้วนในระยะเวลาอันจำกัด
โดยทั่วไป Resume จะถูกใช้ในแง่ของการสมัครงานเป็นหลัก แต่จริง ๆ ก็มีการนำไปใช้งานในจุดประสงค์ด้านอื่นบ้างประปราย แต่ก็จะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสมัครอะไรบางอย่าง เช่น การสมัครเข้าศึกษาต่อ การสมัครรับทุน หรือการสมัครเข้าบางโครงการ ทั้งนี้ ไม่ใช่ทุกแห่งที่จะขอดู Resume ของเรา โดยส่วนมากจะเป็นองค์กรใหญ่ ๆ ที่ต้องคัดกรองคนอย่างเข้มงวด
คุณสมบัติของ Resume ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง
อย่างที่ได้บอกไปว่าวิธีเขียน Resume ไม่ได้มีหลักการตายตัวที่ชัดเจน กระนั้น ก็ยังมีคุณสมบัติบางอย่างที่ HR ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจ เราจึงได้คัดมาเพื่อให้ทุกคนมองเห็นภาพกว้าง ๆ ของรูปแบบ Resume ที่ได้รับความนิยมกันในวงการหางานมากขึ้นก่อนจะลงมือทำ โดย Resume ที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
ควรมีความยาวแค่หน้าเดียวเท่านั้น
ต่อให้ไม่มีกฎว่า Resume ต้องมีกี่หน้า แต่อย่าลืมว่า HR ต้องอ่านประวัติของผู้สมัครจำนวนมาก บางทีก็หลายร้อยคน ดังนั้น ยิ่งยาวไปยิ่งไม่มีประโยชน์ ควรสรุปให้สั้น กระชับ ได้รายละเอียดและใจความสำคัญภายในหน้าเดียวมากกว่า
ใช้ฟอนต์ธรรมดา ๆ ที่อ่านง่าย
บางคนอาจจะคิดว่าความแฟนตาซีของฟอนต์ตัวอักษรจะช่วยทำให้เอกสารดูสวยงามมากขึ้น แต่เปล่าเลย นั่นจะยิ่งทำให้เราดูไม่เป็นมืออาชีพเอามาก ๆ ทางที่ดีควรใช้ฟอนต์ธรรมดา ๆ ที่สามารถอ่านง่ายและอ่านได้บนทุกอุปกรณ์ อย่าง Angsana New หรือ Cordia New ไปเลย และที่สำคัญ ควรใช้ฟอนต์เดียวตลอดทั้งหน้าเพื่อไม่ให้คนอ่านรู้สึกลายตา
ใช้กระดาษขนาดเอสี่
ที่บอกว่าความยาวที่เหมาะสมคือหน้าเดียว ก็ไม่ใช่ว่าจะเขียนใส่กระดาษยาว ๆ มาเลย แต่วิธีเขียน Resume สมัครงานที่ดี คือการเขียนใส่กระดาษขนาดเอสี่ พร้อมแบ่งขอบหน้ากระดาษให้เหมาะสมด้วย ไม่ควรยัดตัวอักษรทุกอย่างลงไปจนดูแน่น ให้ใส่เฉพาะข้อมูลที่คิดว่าบริษัทควรรู้ก็พอ
ควรเขียนด้วยภาษาอังกฤษ
ไม่เคยมีใครออกมาตั้งกฎว่าวิธีเขียน Resume ที่ถูกต้องนั้นต้องเขียนด้วยภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่สำหรับยุคนี้ การเขียนด้วยภาษาอังกฤษเป็นที่นิยมและดูเป็นมืออาชีพกว่าภาษาไทยมาก เพราะแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษา ซึ่งเป็นทักษะที่เกือบทุกสายอาชีพในปัจจุบันต้องการ แต่ทั้งนี้ การจะเขียน Resume ด้วยภาษาไทยก็ไม่ถือว่าผิดอะไร ต้องดูที่เนื้อหางาน รวมถึงองค์กรที่เราสมัครด้วยว่าเป็นงานประเภทไหน เช่น หากสมัครเป็นฝ่ายพิสูจน์อักษรภาษาไทยของสำนักพิมพ์ไทยแห่งหนึ่ง ก็ควรเขียนด้วยภาษาไทยมากกว่า
วิธีเขียน Resume สมัครงานให้โดนใจ HR
แบ่งแต่ละส่วนให้ชัดเจน อ่านง่าย
วิธีเขียน Resume สมัครงานที่สำคัญที่สุดคือต้องอ่านง่าย โดยควรแบ่งแต่ละส่วนออกให้ชัดเจน เพราะหากมองแบบผ่าน ๆ แล้วมีแต่ตัวอักษรเบียดชิดกันจนไม่มีช่องไฟให้พักสายตาบ้างก็จะทำให้อ่านยาก แล้วยังไม่อยากอ่านจนจบอีกด้วย ให้จำไว้เสมอว่าบางที HR อาจจะอ่าน Resume ของเราแค่ผ่าน ๆ ตาเท่านั้น เราจึงต้องทำให้ข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นมองเห็นได้ง่ายมากที่สุด ซึ่งแต่ละส่วนควรแบ่งออกเป็น
สรุปโดยย่อเกี่ยวกับตนเอง
มักใส่ไว้ส่วนบนสุดของ Resume เพื่อแนะนำตัวเองคร่าว ๆ ว่าเราเป็นใคร ทำอะไรอยู่ กำลังมองหาอะไร และมีเป้าหมายอย่างไรบ้างในการทำงาน ความยาวไม่ควรเกิน 3 บรรทัด
ชื่อ นามสกุล และช่องทางการติดต่อ
ส่วนนี้ก็จำเป็นมาก ๆ เพราะ ชื่อ ถือเป็นสิ่งแรกที่ผู้รับสมัครต้องได้รู้เกี่ยวกับเรา ถัดมาก็คือช่องทางการติดต่อ โดยไม่ควรใส่เยอะจนเกินไป พวกโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่จำเป็น ให้ใส่แค่เบอร์โทร อีเมล และอาจเสริมด้วยแอ็กเคานต์ LinkedIn (ถ้ามี) ก็พอ แต่ระวังอย่าเผลอใช้อีเมลที่ไม่เป็นมืออาชีพเด็ดขาด ต้องใช้อีเมลที่ดูเป็นทางการเท่านั้น หากเป็นไปได้ ให้ใช้อีเมลที่เป็นชื่อจริงและนามสกุลไปเลย
ประวัติการศึกษา
อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่หลายคนชอบทำพลาดด้วยการใส่วุฒิการศึกษาเยอะเกินความจำเป็น โดยควรใส่แค่การศึกษาระดับปริญญาก็พอ เพราะส่วนมากก็ไม่มีที่ทำงานไหนสนใจอยู่แล้วว่าเราจบประถม-มัธยมมาจากโรงเรียนอะไร ส่วนเกรดเฉลี่ย หากได้น้อยก็ไม่ควรใส่เช่นกัน
ประวัติการทำงาน
เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่ HR อยากรู้ที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะจะได้ดูว่าประสบการณ์การทำงานที่เรามีนั้นสอดคล้องกับงานที่เราสมัครไปหรือเปล่า และเรามีความเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นมากน้อยแค่ไหน โดยควรใส่ทั้งตำแหน่งงานและบริษัทที่เคยทำ หากไม่ใช่องค์กรระดับประเทศก็อาจมีระบุด้วยว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับอะไร พร้อมทั้งบอกหน้าที่ความรับผิดชอบในตำแหน่งดังกล่าวว่าเราเคยทำอะไรมาบ้างโดยละเอียด
ทักษะและความสามารถ
นอกจากประสบการณ์การทำงานแล้ว เราควรเพิ่มส่วนทักษะและความสามารถเข้าไปด้วยว่าเรามีทักษะอะไร ทำอะไรได้บ้าง โดยอาจแบ่งเป็น Soft Skills กับ Hard Skills เพื่อความชัดเจน และควรใส่ให้สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่สมัคร ผู้คัดเลือกจะได้รู้สึกว่าเรามีทักษะที่เหมาะสมพอที่จะรับเข้าทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ
ใช้ฟอร์แมตเรียบ ๆ หลีกเลี่ยงการใช้สีฉูดฉาด
ส่วนมาก คนที่ได้งานก็มักจะเป็นคนที่ทำเรซูเม่สไตล์เรียบ ๆ มินิมัลกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเน้นความสวยงามอะไรมากมาย เพราะถึงอย่างไร HR ก็ให้ความสำคัญกับข้อมูลของเรามากกว่าอยู่ดี นอกจากนี้ หลักทางจิตวิทยายังบอกไว้ด้วยว่า ผู้ที่ใช้เรซูเม่สีฉูดฉาดนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคนที่ต้องการเพิ่มความน่าดึงดูดให้ Resume ของตนเอง เพราะเห็นว่าข้อมูลของตนเองมีน้อย ไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงต้องใช้สีสันสวยงามเพื่อดึงความสนใจจาก HR สำหรับใครที่ทำอยู่ก็ขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาใช้สีเรียบ ๆ ดีกว่า เพราะนอกจากจะดูเป็นมืออาชีพแล้วยังทำให้อ่านง่ายกว่า Resume ที่เป็นสีสันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า Resume สีสันฉูดฉาดจะถูกแบนจากวงการสมัครงานเลยเสียทีเดียว เพราะก็ยังมีบางสายงาน เช่น กราฟิกดีไซน์เนอร์ งานด้านครีเอทิฟ ออกแบบ เป็นต้น ที่ต้องแสดงฝีมือและทักษะของตนเองให้ผู้รับสมัครงานเห็น ซึ่ง Resume ก็ถือเป็นด่านแรกที่จะช่วยวัดว่าผู้สมัครคนนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบมากแค่ไหน ดังนั้น จะใช้สีแบบไหนก็ต้องดูสายงานที่สมัครด้วย หากเป็นสายงานจริงจัง เช่น นักกฎหมาย เลขานุการ ก็ควรหลีกเลี่ยงสีฉูดฉาด เพราะดูไม่เรียบร้อย
เพิ่มประสบการณ์ทำงานที่เคยเป็นอาสาสมัคร หรืองานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง
บางคนอาจจะมองว่าแค่ใส่ประสบการณ์การทำงานแบบ Full-Time ก็พอ ส่วนงานอื่น ๆ ยิบย่อยนั้นไม่จำเป็นต้องใส่ ขอบอกเลยว่าคิดผิด ! เพราะถ้าหากมีบางงานที่เราเคยไปเป็นอาสาสมัคร หรืองานที่ไม่ได้รับค่าจ้าง แล้วงานนั้น ๆ เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานที่เราสมัครไป ก็สามารถนำมาใส่ได้เช่นกัน เพราะจะยิ่งช่วยยืนยันศักยภาพของเราที่มีต่องานนั้น ๆ ได้ดี ทั้งยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้เราด้วย ผู้รับสมัครจะได้มองว่าเราเคยทำงานมาหลายอย่าง ไม่ใช่แค่งาน Full-Time เท่านั้น แสดงว่าเรามีโอกาสที่จะสามารถทำงานและรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในที่ทำงานได้ดีกว่าคนที่มีประสบการณ์การทำงานน้อยกว่า
สรุป
จะเห็นได้ว่า วิธีเขียน Resume ให้น่าสนใจนั้นไม่ยากอย่างที่คิด อีกทั้งสมัยนี้ก็มีเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ช่วยออกแบบเทมเพลตฟรีมาช่วยให้เราเขียน Resume สมัครงานได้อย่างเป็นมืออาชีพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะใช้ฟอร์แมตเดียวกับทุกบริษัท ทุกตำแหน่งงานที่สมัคร เพราะแต่ละที่ แต่ละงานก็มีความต้องการไม่เหมือนกัน ยิ่งเราเอาใจใส่ในความเป็นบริษัท แล้วนำมาใส่ใน Resume ของเรามากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้งานมากเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าจะทำ Resume แบบใด ก็อย่าลืมศึกษารายละเอียดของงานที่สมัครให้ดีก่อน เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดสิ่งที่ตรงใจ HR ของบริษัทนั้น ๆ ออกมาให้ได้มากที่สุด
กำลังมองหางานสายการตลาดอยู่หรือเปล่า หากคุณเป็นคนที่มีทักษะ ความสามารถด้านดิจิทัล และสนใจร่วมงานกับบริษัทการตลาดดิจิทัลที่ดีที่สุดในไทยอย่าง Primal Digital Agency สามารถส่ง Resume ปัง ๆ ของตัวเองมาได้เลยที่ https://bit.ly/3PCB1TL หรืออีเมล careers@primal.co.th แล้วพบกัน !
Join the discussion - 0 Comment