Facebook Ads มีกี่ประเภท ควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ
แม้ทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดียใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง แต่ Facebook ก็ยังคงครองตำแหน่งแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก ซึ่งในปี 2024 จำนวนผู้ใช้รวมได้ทะลุ 3.07 พันล้านรายไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ด้วยเหตุนี้ Facebook จึงกลายเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจทุกประเภทและทุกขนาด ช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับรูปแบบโฆษณา Facebook พร้อมทั้งแนะนำวิธีการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณมากที่สุด !
Table of Contents
Facebook Ads มีกี่ประเภท
Facebook Ads คือ รูปแบบโฆษณา Facebook ที่นำเสนอโอกาสอันหลากหลายในการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 10 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. Image Ads (โฆษณารูปภาพ)
รูปแบบโฆษณา Facebook ที่เบสิกที่สุด ไม่ว่าใครก็ต้องเคยเห็น เพราะจะมีแค่ภาพเดียวที่มาพร้อมข้อความสั้น ๆ ทำให้สามารถสื่อสารข้อความที่แบรนด์ต้องการจะสื่อได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือโปรโมตสินค้าใดสินค้าหนึ่ง
2. Video Ads (โฆษณาวิดีโอ)
เป็นโฆษณาแบบวิดีโอที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างมีชีวิตชีวามากขึ้น สามารถทำได้ทั้งวิดีโอสั้นและวิดีโอยาว โดยส่วนใหญ่จะใช้เพื่อสาธิตสินค้า นำเสนอบริการ หรือการสร้างเนื้อหาเพื่อบิลด์อารมณ์ร่วมกับผู้ชม ทำให้เกิดการมีส่วนร่วม (Engagement) อย่างการกดไลก์ แชร์ และคอมเมนต์
3. Carousel Ads (โฆษณาแบบอัลบั้มภาพ)
โฆษณาแบบ Carousel จะอนุญาตให้แสดงภาพหรือวิดีโอได้สูงสุดถึง 10 รายการในโฆษณาเดียว ผู้ใช้จึงสามารถเลื่อนดูได้ทีละภาพ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการแสดงสินค้าหลาย ๆ ชิ้น หรือการนำเสนอคุณสมบัติหลาย ๆ ข้อของผลิตภัณฑ์เดียว
4. Slideshow Ads (โฆษณาแบบสไลด์โชว์)
รูปแบบโฆษณา Facebook ที่จะรวมภาพนิ่ง วิดีโอสั้น และเสียงเข้าด้วยกัน มีลักษณะคล้ายวิดีโอ แต่ใช้แบนด์วิดท์ (Bandwidth) น้อยกว่า เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการเล่าเรื่องราวแบบง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน หรือนำเสนอสินค้ามากกว่าหนึ่งชิ้น
5. Collection Ads (โฆษณาแบบคอลเลกชัน)
โฆษณาแบบคอลเลกชันเหมาะสำหรับธุรกิจค้าปลีก โดยจะมีการแสดงวิดีโอหรือภาพหลักเป็นปก (Cover) พร้อมกับภาพสินค้าที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ซึ่งผู้ใช้สามารถเลื่อนดูและสามารถคลิกเพื่อซื้อสินค้าได้โดยตรง
6. Instant Experience Ads (โฆษณาที่มอบประสบการณ์ให้ผู้ใช้แบบทันที)
โฆษณารูปแบบนี้จะมีความพิเศษตรงที่ หากผู้ใช้ผ่านมาเห็นแล้วแตะไปโดนโฆษณา Instant Experience Ads จะขยายใหญ่เต็มหน้าจอทันที โดยแบรนด์สามารถรวมวิดีโอ ภาพ และปุ่ม CTA ไว้ในโฆษณาได้ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วม
7. Lead Ads (โฆษณาสำหรับเก็บข้อมูลลูกค้า)
Lead Ads ออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าบน Facebook โดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นโฆษณาที่กระตุ้นให้ผู้พบเห็นคลิกเข้ามากรอกฟอร์มเพื่อรับผลประโยชน์บางอย่าง เช่น การสมัครจดหมายข่าว การขอใบเสนอราคา หรือความต้องการให้ธุรกิจนั้น ๆ ติดต่อกลับ
8. Dynamic Ads (โฆษณาแบบไดนามิก)
Dynamic Ads เป็นรูปแบบโฆษณา Facebook ที่จะแสดงสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมแก่กลุ่มเป้าหมายแบบอัตโนมัติ โดยอ้างอิงจากการกระทำก่อนหน้าบนเว็บไซต์หรือแอปฯ ของบุคคลนั้น ๆ เช่น หากมีกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่งเซิร์ชหารองเท้าแฟชั่นไป แล้วแบรนด์คุณขายรองเท้าพอดี โฆษณาก็จะไปขึ้นที่ผู้ใช้รายดังกล่าว เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง
9. Messenger Ads (โฆษณาบน Messenger)
Messenger Ads จะปรากฏบนแอปฯ Messenger ของ Facebook มักเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายเข้ามามีปฏิสัมพันธ์บนหน้าเพจ โดยสามารถใช้เพื่อเริ่มการสนทนากับลูกค้าได้ทันที เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวแก่ลูกค้า
10. Stories Ads (โฆษณาบนสตอรี)
ไม่ใช่แค่บนไอจีเท่านั้นที่ฟีเจอร์สตอรีได้รับความนิยม เพราะแบรนด์จำนวนมากก็มีการทำโฆษณาบนสตอรีเพื่อเพิ่มอัตราการมองเห็นเช่นกัน โดยรูปแบบก็จะเหมือนสตอรีทั่ว ๆ ไป คือ เป็นภาพหรือวิดีโอแนวตั้งเต็มหน้าจอ ให้ความรู้สึกเหมือนได้ติดตามข่าวสารแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างการรับรู้และกระตุ้นการมีส่วนร่วม
เทคนิคการเลือกใช้รูปแบบโฆษณา Facebook ให้เหมาะสม
ได้รู้กันไปแล้วว่า Facebook Ads มีกี่ประเภท ทีนี้ เรามาดูกันว่าธุรกิจจะสามารถเลือกใช้รูปแบบโฆษณา Facebook ให้เหมาะสมได้อย่างไร มีเทคนิคใดในการพิจารณาบ้าง
กำหนดวัตถุประสงค์ทางธุรกิจให้ชัดเจน
ก่อนเริ่มสร้างโฆษณา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน เพราะเป้าหมายที่แตกต่างกันจะนำไปสู่การเลือกรูปแบบโฆษณา Facebook ที่แตกต่างกันด้วย เช่น หากคุณต้องการสร้างการรับรู้ Video Ads หรือ Stories Ads จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ในขณะที่หากต้องการเพิ่มยอดขาย Collection Ads หรือ Dynamic Ads อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
รู้จักกลุ่มเป้าหมาย
การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตนเองอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณสามารถเลือกรูปแบบโฆษณา Facebook ได้ดีขึ้น โดยควรพิจารณาจากอายุและเพศของกลุ่มเป้าหมาย ความสนใจและพฤติกรรมออนไลน์ ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึง Facebook เช่น หากลูกค้าเป้าหมายของคุณเป็นคนรุ่นใหม่ที่ใช้งานมือถือเป็นหลัก Stories Ads ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้แล็ปท็อป Carousel Ads ก็อาจตอบโจทย์กว่า
พิจารณางบประมาณ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกรูปแบบโฆษณาก็คือ งบประมาณ เพราะ Facebook Ads บางประเภท เช่น Video Ads อาจต้องใช้งบประมาณในการสร้างสูงกว่า Image Ads ธรรมดา ๆ แต่แน่นอนว่าก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าในระยะยาว ดังนั้น ควรพิจารณาทั้งงบประมาณในการผลิตสื่อและงบประมาณในการซื้อโฆษณา
ใช้หลายรูปแบบร่วมกัน พร้อมทดสอบและวิเคราะห์ผล
การใช้รูปแบบโฆษณาหลายประเภทร่วมกันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้ เช่น ใช้ Video Ads เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ตามด้วยใช้ Carousel Ads เพื่อแสดงรายละเอียดสินค้า ปิดท้ายด้วยการใช้ Dynamic Ads เพื่อกระตุ้นการซื้อ จากนั้นให้วิเคราะห์ผลอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ของ Facebook เพื่อติดตามประสิทธิภาพของโฆษณาแต่ละประเภท แล้วปรับแต่งกลยุทธ์สำหรับครั้งถัดไป
Facebook Ads รูปแบบโฆษณาที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกประเภท
จะเห็นได้ว่า Facebook Ads มีหลากหลายรูปแบบ และสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจที่แตกต่างกันได้ ส่วนการเลือกใช้รูปแบบโฆษณา Facebook ให้เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณ และลักษณะของสินค้าหรือบริการ ซึ่งการทดลองใช้หลายรูปแบบและวิเคราะห์ผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณค้นพบวิธีการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจ แต่หากคุณยังไม่มั่นใจที่จะยิงโฆษณาด้วยตนเอง ที่ Primal เราเป็นบริษัทการตลาดชั้นนำของไทย มีบริการรับทำ Facebook Ads และโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จด้านการเป็นผู้นำบนโลกออนไลน์ ติดต่อเราได้เลยวันนี้
Join the discussion - 0 Comment