SEO คืออะไร? สรุปสิ่งที่ควรเรียนรู้พื้นฐานการทำ SEO สำหรับธุรกิจที่นี่
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางเว็บไซต์ถึงติดอันดับต้น ๆ ใน Google ขณะที่บางเว็บฯ กลับหายไปในหน้าที่สองหรือสาม คำตอบนั้นอยู่ที่การทำ SEO หรือ Search Engine Optimisation
โดยปัจจุบัน มีผู้ใช้ค้นหาข้อมูลบน Google กว่า 8 พันล้านครั้งต่อวัน (ข้อมูลจาก seo.ai) และพวกเขาเหล่านั้นคลิกที่ผลการค้นหาอันดับต้น ๆ เท่านั้น การทำ SEO จึงเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดลูกค้าใหม่และเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจ
ทว่า SEO คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญขนาดนี้ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกอย่างละเอียด พร้อมชี้แจงปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการติดอันดับ เพื่อให้คุณนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Table of Contents
SEO คืออะไร
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimisation หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์เพื่อการค้นหา คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับสูง ๆ ในผลการค้นหาของ Google หรือ Search Engine อื่น ๆ เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ เป้าหมายหลักของ SEO คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
SEM ต่างกับ SEO อย่างไร
SEO และ SEM ย่อมาจาก Search Engine Marketing ที่แตกต่างกันดังนี้
| SEO (Search Engine Optimisation) | SEM (Search Engine Marketing) |
ความหมาย | การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหาแบบออร์แกนิก | การทำโฆษณาออนไลน์เพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา |
วิธีการ | ปรับปรุงเนื้อหา, สร้าง Backlink, ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ | สร้างและบริหารแคมเปญโฆษณา เช่น Google Ads |
ต้นทุน | ต้นทุนต่ำในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาในการเห็นผล | ต้นทุนต่อคลิก (Pay-Per-Click) ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับการแข่งขันของ Keyword |
ผลลัพธ์ | อันดับในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกที่ยั่งยืน | อันดับในผลการค้นหาแบบชำระเงิน เห็นผลได้ทันที |
เวลาที่เห็นผล | ช้า แต่ผลลัพธ์อยู่ได้นาน | เร็ว แต่ผลลัพธ์สิ้นสุดเมื่อหยุดโฆษณา |
ตัวอย่าง | ปรับปรุงบทความให้มีคุณภาพ, สร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ | สร้างโฆษณา Google Ads, โฆษณาบน Social Media |
สรุป
- SEO เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์ในระยะยาวและมีงบประมาณจำกัด เน้นการสร้างเนื้อหา มีคุณภาพและการสร้าง Backlink
- SEM เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและสามารถควบคุมงบประมาณได้อย่างชัดเจน เน้นการลงโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา
ทั้งสองวิธีมีข้อดีต่างกัน ดังนั้น การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์มักให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO VS SEM
การทำ SEO มีกี่รูปแบบ
การทำ SEO แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ
- On-Page SEO : เทคนิคการปรับแต่งเว็บไซต์ภายในหน้าเว็บฯ เช่น การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม ปรับแต่ง Title Tag และ Meta Description เขียนเนื้อหาที่ตรงประเด็น และสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย
- Off-Page SEO : เทคนิคการสร้างการเชื่อมโยงเว็บไซต์ (Backlink) จากเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพ บทความรีวิว หรือโซเชียลมีเดีย ให้กลับมายังเว็บไซต์ของเรา
- Technical SEO : เทคนิคการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ให้รวดเร็ว ปลอดภัย และใช้งานง่ายบนอุปกรณ์ต่าง ๆ
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทของการทำ SEO
SEO ทำงานอย่างไร
หลักการทำงานของ SEO ประกอบด้วยหลายกระบวนการสำคัญ ดังนี้
การรวบรวมข้อมูล (Crawling)
หลักการทำงาน เริ่มแรก Search Engine จะใช้โปรแกรมที่เรียกว่า “Crawlers” หรือ “Spiders” ในการสำรวจหน้าเว็บฯ ต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต โปรแกรมเหล่านี้จะทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากเว็บไซต์ แล้วส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์กลางเพื่อวิเคราะห์และจัดเก็บในดัชนีของ Search Engine
- ข้อมูลที่ Crawlers เก็บรวบรวม ได้แก่
- โครงสร้างของเว็บไซต์
- ลิงก์ภายใน (Internal Link) และภายนอก (External Link)
- ข้อความและเนื้อหา
- รูปภาพและสื่อมัลติมีเดีย
การจัดเก็บข้อมูล (Indexing)
หลังจากรวบรวมข้อมูลแล้ว หน้าเว็บฯ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการ Indexing ซึ่งเป็นการจัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูลในดัชนีขนาดใหญ่ของ Search Engine โดยการที่เว็บไซต์ของคุณจะติดอันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP) หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความถูกต้องและคุณภาพของข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในดัชนีนี้
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดเก็บข้อมูลในดัชนี
- ความถูกต้องของข้อมูล
- ความครบถ้วนของเนื้อหา
- ความซับซ้อนของโครงสร้างเว็บไซต์
การจัดอันดับ (Ranking)
เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคำ ๆ หนึ่ง เช่น “SEO คืออะไร“ Search Engine จะดึงข้อมูลจากดัชนี และจัดอันดับเว็บไซต์ตามความเหมาะสม การจัดอันดับนี้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอเพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งนี้
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance) : เว็บไซต์ของคุณต้องมีข้อมูลที่ตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้งาน เช่น หากผู้ค้นหาพิมพ์คำว่า “SEO คืออะไร“ Search Engine จะพิจารณาว่าเนื้อหาของคุณอธิบายเกี่ยวกับ SEO อย่างละเอียดและตรงประเด็นหรือไม่
- คุณภาพของเนื้อหา : Search Engine จะตรวจสอบว่าเนื้อหาของคุณน่าเชื่อถือและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานหรือไม่ ทั้งนี้ การมี Backlinks จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงจะช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือมากขึ้น
- ประสบการณ์ผู้ใช้งาน (User Experience) : เว็บไซต์ที่โหลดเร็ว มีโครงสร้างที่ดี รองรับการใช้งานบนมือถือ และใช้งานง่ายจะได้รับคะแนนสูงในส่วนนี้
- การใช้คีย์เวิร์ด (Keyword Usage) : การใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ ทั้งเนื้อหา, Meta Tags, Title, และ URL จะช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหาของผู้ใช้งาน
การอัปเดตอัลกอริทึม (Algorithm Updates)
หลักการต่อมาคือเรื่องของการอัปเดตอัลกอริทึม โดย Search Engine โดยเฉพาะ Google มีการอัปเดตอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงการจัดอันดับให้แม่นยำ การอัปเดตเหล่านี้อาจส่งผลให้อันดับของเว็บไซต์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
- ตัวอย่างการอัปเดตอัลกอริทึมที่สำคัญของ Google
- Penguin : มุ่งเน้นการปราบปรามการสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ
- Panda : เน้นการยกระดับคุณภาพของเนื้อหาและลดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ
- BERT : ปรับปรุงความเข้าใจภาษาธรรมชาติของ Search Engine
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัลกอริทึมของ Google
การปรับแต่งและปรับปรุง SEO
หลักการข้อสุดท้าย คือการปรับแต่งและปรับปรุง โดย SEO เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การทำครั้งเดียวแล้วจบ ผู้ดูแลเว็บไซต์จะต้องติดตามและวิเคราะห์ผลการทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
- แนวทางการปรับปรุง SEO อย่างต่อเนื่อง
- สร้างเนื้อหาใหม่ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหาของผู้ใช้
- วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อศึกษาคีย์เวิร์ดและกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ
- ปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และประสบการณ์ผู้ใช้อยู่เสมอ
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมและปรับตัวให้ทันกับการอัปเดตใหม่ ๆ
ข้อดีของการทำ SEO สำหรับธุรกิจออนไลน์
ข้อมูลจาก mr-seo.com ระบุว่า กว่า 93% ของการตัดสินใจซื้อทั้งหมดเกิดขึ้นจากการค้นหาบนโลกออนไลน์ ดังนั้น การเตรียมหน้าร้านออนไลน์หรือเว็บไซต์ให้พร้อมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองไปรู้ถึงการทำ SEO กันดีกว่าว่ามีข้อดีและประโยชน์อย่างไรต่อธุรกิจบ้าง
เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
SEO ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เมื่อพวกเขาค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ พวกเขาจะพบเว็บไซต์ทันที นอกจากนี้ ยังช่วยขยายฐานลูกค้า ทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
เพิ่มยอดขาย
เมื่อผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โอกาสในการขายก็เพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเว็บไซต์ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและน่าสนใจ ผู้เข้าชมจะมีแนวโน้มตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการมากขึ้น ส่งผลให้อัตรา Conversion เพิ่มสูงขึ้นด้วย
สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่แบรนด์
เมื่อ Google จัดอันดับเว็บไซต์ให้อยู่ในอันดับที่สูง นั่นเท่ากับว่า Google กำลังรับรองความน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่แบรนด์ ทำให้ผู้ใช้มองว่าแบรนด์เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ
ลดค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด
แม้ว่าการทำ SEO อาจต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคงอยู่ระยะยาว แม้ว่าจะหยุดทำไปแล้วก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับการลงโฆษณาออนไลน์ การทำ SEO จะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ทำให้ประหยัดงบประมาณในการทำการตลาด
เข้าถึงลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ข้อดีอีกประการหนึ่งของการทำ SEO คือเว็บไซต์จะทำงานตลอดเวลา ลูกค้าสามารถเข้ามาเยี่ยมชมและทำธุรกรรมบนเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอย่างมาก
ทำยังไงให้เว็บฯ ติดหน้าแรก Google ? รู้จักปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับ SEO
การติดอันดับ SEO ไม่ยาก เว็บไซต์ของคุณเพียงต้องมีองค์ประกอบของเว็บไซต์ SEO ที่ดีดังต่อไปนี้
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำ SEO
Keyword : หัวใจสำคัญของการค้นหา
การทำ Keyword Research เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์ปรากฏในหน้าค้นหาและมีโอกาสถูกค้นพบ
เพื่อให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- Keyword Research : ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, SEMrush, หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสปรากฏในหน้าแรกได้ดีขึ้น
- Long-tail Keywords : การใช้คีย์เวิร์ดยาว ๆ เช่น “รองเท้าผ้าใบสีขาวไซส์ 40” ช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งมักจะมีแนวโน้มซื้อสูงกว่า
- Keyword Density : การใส่คีย์เวิร์ดหลักในเนื้อหาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น แต่ต้องหลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไป (Keyword Stuffing) ซึ่งอาจทำให้เนื้อหาดูไม่เป็นธรรมชาติและส่งผลเสียต่อ SEO
ทั้งนี้ การทำความเข้าใจเจตนาการค้นหา (Search Intent) ก็เป็นส่วนสำคัญในการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงตามเจตนาของผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์ตอบโจทย์และเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) พร้อมลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
โดยประเภทของคีย์เวิร์ดมีดังนี้
- Informational Keywords : คีย์เวิร์ดที่ใช้เพื่อหาข้อมูล เช่น “SEO คืออะไร” ซึ่งเน้นการให้ข้อมูลหรือความรู้
- Navigational Keywords : คีย์เวิร์ดที่ใช้ค้นหาเว็บไซต์เฉพาะ เช่น “Google Analytics login” ซึ่งมักจะใช้เมื่อต้องการเข้าถึงเว็บไซต์หรือหน้าที่เฉพาะเจาะจง
- Transactional Keywords : คีย์เวิร์ดที่ใช้เพื่อซื้อขาย เช่น “ซื้อรองเท้ากีฬาออนไลน์” ซึ่งมักจะมีแนวโน้มในการซื้อสินค้าหรือบริการ
- Commercial Keywords : คีย์เวิร์ดที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบ เช่น “รีวิว SEO tools” ซึ่งช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword Research
Content : เนื้อหาคือราชา
เนื้อหาที่ดีจะช่วยดึงดูดผู้ใช้และเพิ่มโอกาสการจัดอันดับที่ดีใน Search Engine ได้ โดยการทำเนื้อหา SEO ควรคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้
- คุณภาพของเนื้อหา : เนื้อหาควรถูกต้อง น่าเชื่อถือ และมีประโยชน์
- ความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด : เนื้อหาต้องสอดคล้องกับคีย์เวิร์ดและตอบคำถามของผู้ใช้
- ความยาวของเนื้อหา : เนื้อหาที่ความยาวพอเหมาะและครอบคลุมมักจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
- รูปแบบการนำเสนอ : การใช้รูปภาพ, วิดีโอ, หรือ Infographic ช่วยทำให้เนื้อหาน่าสนใจและเข้าใจง่าย
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเขียนคอนเทนต์ SEO
On-Page SEO : ปรับปรุงเว็บไซต์ให้เป็นมิตรกับ Search Engine
On-Page SEO คือกระบวนการปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บฯ เพื่อให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาและปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ องค์ประกอบหลักมีดังนี้
- Title Tag : ตั้งชื่อเรื่องของหน้าให้ชัดเจนและใส่คีย์เวิร์ดหลักที่สำคัญ เพื่อช่วยให้ Search Engine และผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าได้อย่างรวดเร็ว
- Meta Description : เขียนคำบรรยายสั้น ๆ ที่มีคีย์เวิร์ดหลักและอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ การบรรยายที่ดีจะช่วยดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้าไปยังหน้านั้น ๆ
- Header Tag : ใช้ Header Tags (H1, H2, H3) เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาและช่วยให้ค้นหาหน้าเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น โดยการใช้ H1 สำหรับหัวข้อหลัก และ H2, H3 สำหรับหัวข้อรอง
- URL Structure : สร้าง URL ที่สั้นและมีคีย์เวิร์ดเพื่อให้เข้าใจง่ายและค้นหาสะดวก ซึ่งช่วยให้ Search Engine และผู้ใช้สามารถระบุเนื้อหาของหน้าได้อย่างชัดเจน
- Image Alt Text : ใส่คำอธิบายเพื่อให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหารูปภาพ ซึ่งจะช่วยในการทำ SEO โดยเฉพาะการค้นหาภาพ
- Internal Linking : ใช้ลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มการนำเสนอข้อมูลและทำให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ดีมากยิ่งขึ้น
เทคนิค On-Page SEO ขั้นสูง
นอกจากการปรับแต่งข้างต้นแล้ว การเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ในหน้านั้น ๆ ยังรวมถึง
- การใช้ Schema Markup : ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสแสดงเป็น Rich Snippets ใน Google ซึ่งทำให้เนื้อหาดูโดดเด่นในผลลัพธ์การค้นหา
- Featured Snippets : การปรับปรุงเนื้อหาให้ตอบคำถามตรง ๆ และสั้น ๆ จะเพิ่มโอกาสการปรากฏเป็น Featured Snippet บนหน้า Google ซึ่งช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ On-Page SEO
Off-Page SEO : สร้างความเชื่อถือให้เว็บไซต์
การสร้าง Backlink หรือการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นมาที่เว็บไซต์ของคุณจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างการรับรู้แบรนด์ได้
- การสร้าง Backlink : หาวิธีสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- คุณภาพของ Backlink : ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณของ Backlink
- การจัดการลิงก์ : ตรวจสอบและลบ Backlink ที่มีคุณภาพต่ำหรือเป็นสแปม
อย่างไรก็ดี Off-Page SEO ไม่ได้หมายถึงแค่การสร้าง Backlinks เท่านั้น แต่ยังรวมถึง
- การสร้างแบรนด์ (Brand Building) : การทำให้แบรนด์ของคุณถูกพูดถึง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตา Google
- Social Media Signals : แม้จะไม่ใช่ปัจจัยโดยตรง แต่ Social Media สามารถช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ได้
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Off-Page SEO
Technical SEO : พื้นฐานที่แข็งแรงของเว็บไซต์
การทำ Technical SEO จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้เว็บไซต์เป็นมิตรกับ Search Engine โดยมีองค์ประกอบดังนี้
- ความเร็วของเว็บไซต์ : เว็บไซต์ที่ดาวน์โหลดเร็วจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
- Mobile-Friendly : เว็บไซต์ต้องแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ
- การสร้างแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) : สร้างแผนผังเว็บไซต์เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์
- Robot.txt : ใช้ไฟล์ Robot.txt เพื่อบอก Search Engine ว่าจะให้ Crawl ส่วนใดของเว็บไซต์
- การปรับปรุงโครงสร้าง URL : ออกแบบโครงสร้าง URL ที่เป็นมิตรกับ Search Engine และง่ายต่อการเข้าใจ
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Technical SEO
เครื่องมือ SEO ที่น่าสนใจ
การใช้เครื่องมือ SEO คือวิธีการที่จะช่วยให้การวิเคราะห์และการปรับปรุง SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเครื่องมือน่าสนใจที่เราอยากแนะนำ มีดังนี้
- Google Search Console : สำหรับตรวจสอบและปรับปรุงสถานะของเว็บไซต์บน Google
- Ahrefs / SEMrush : สำหรับวิเคราะห์ลิงก์และตรวจสอบคู่แข่ง
- Yoast SEO : สำหรับปรับปรุง SEO ภายใน WordPress
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือทำ SEO
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ SEO
1. การเขียนบทความ SEO คืออะไร
การเขียนบทความ SEO คือการสร้างเนื้อหาที่ให้ทั้งประโยชน์แก่ผู้อ่านและใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยให้บทความติดอันดับในผลการค้นหาสูงขึ้น
2. บทความ SEO ควรยาวเท่าไร
บทความ SEO ควรยาวประมาณ 800-2000 คำ ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและคีย์เวิร์ดที่เลือกใช้ ยิ่งบทความมีคุณภาพและครอบคลุมเท่าไร ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูง ๆ ได ้
3. ทำ SEO เองได้ไหม หรือควรจ้างผู้เชี่ยวชาญ
SEO สามารถทำเองได้หากคุณมีเวลาและเข้าใจหลักการพื้นฐาน แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่เร็วและชัดเจน การจ้างผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่า
>> อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
4. การทำ SEO เสียเงินไหม
SEO แบบออร์แกนิกไม่จำเป็นต้องเสียเงิน แต่หากใช้เครื่องมือเฉพาะทางหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญ อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับบริการที่เลือก
5. การทำ SEO มีค่าใช้จ่ายเท่าไร
ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO จะขึ้นอยู่กับบริการที่เลือก หากจ้างเอเจนซีหรือผู้เชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ระหว่างหลักพันถึงหลักหมื่นบาทต่อเดือน
6. การทำ SEO ใช้เวลานานเท่าไรถึงเห็นผล
การทำ SEO มักใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือนถึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของอุตสาหกรรมและกลยุทธ์ที่นำมาใช้
7. ควรเริ่มทำ SEO ตอนไหนถึงจะดีที่สุด
ควรเริ่มทำ SEO ตั้งแต่เริ่มสร้างเว็บไซต์หรือเริ่มต้นทำธุรกิจ เพราะจะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว
สรุป
SEO คือกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ โดยการเริ่มต้นทำ SEO ตั้งแต่วันนี้จะช่วยวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ในอนาคต
หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัล หรือไม่มีเวลาดูแลธุรกิจในทุก ๆ ส่วนอย่างครอบคลุม การจ้างบริษัทรับทำ SEO ก็เป็นทางเลือกที่ธุรกิจสมัยใหม่นิยมกัน ที่ Primal เราเป็นบริษัททำ SEO ชั้นนำของไทย มีผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คนที่พร้อมดันเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นไปอยู่อันดับแรก ๆ บนหน้า Search Engine ทั้งยังจะช่วยออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ สร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน กรอกฟอร์มเพื่อรับคำปรึกษาฟรีจากเราได้เลยวันนี้
Join the discussion - 0 Comment