On-Page SEO คืออะไร ติดหน้าแรกง่าย ๆ ด้วย 10 เทคนิคปี 2024 !
ในยุคดิจิทัล การมีเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ แต่เพียงการมีเว็บไซต์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ คุณจำเป็นต้องทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าแรกของ Google Search Engine เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้คนมองเห็นเว็บไซต์ของคุณด้วย
ทั้งนี้ On-Page SEO (Search Engine Optimization) ก็เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในหน้าแรก Google ได้ บทความนี้จึงอยากพามารู้จักว่า On-Page SEO คืออะไร และเทคนิคการทำ On-Page SEO ที่ดีควรมีอะไรบ้าง
Table of Contents
On-Page SEO คืออะไร ?
On-Page SEO หรือ On-Page Search Engine Optimization หมายถึง การปรับแต่งองค์ประกอบต่าง ๆ บนหน้าเว็บเพจของเราเอง ให้เหมาะสมกับทั้งผู้ใช้งานและตัวอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา เป้าหมายหลักคือ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับดี ๆ บนหน้าแรกของผลการค้นหา เมื่อมีผู้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ของเรา
ทำไม On-Page SEO ถึงสำคัญ ?
On-Page SEO หรือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา มีความสำคัญอย่างมากต่อธุรกิจออนไลน์ เพราะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้ประโยชน์ดังนี้
ติดอันดับการค้นหาที่ดีขึ้น
เมื่อปรับปรุง On-Page SEO อย่างถูกต้อง เครื่องมือค้นหาอย่างกูเกิลจะสามารถเข้าใจเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏอยู่ในหน้าแรกของผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้พิมพ์คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายเห็นเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นตามไปด้วย
เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Organic Traffic)
เมื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหา ผู้ใช้ก็จะคลิกเข้ามาดูเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ซึ่งหมายถึงโอกาสในการสร้างลูกค้าใหม่ ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เพิ่ม Conversion Rate
เมื่อผู้ใช้เข้ามาชมเนื้อหาบนเว็บไซต์แล้ว ก็จะมีโอกาสชักจูงให้พวกเขาดำเนินการตามเป้าหมายที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือดาวน์โหลดเอกสาร ซึ่งจะนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น
สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
เมื่อผู้ใช้พบเห็นเว็บไซต์ของคุณบ่อยครั้งขึ้น พวกเขาก็จะเริ่มจดจำแบรนด์ของคุณได้ และอาจจะกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าของคุณในอนาคต
เทคนิคการทำ On-Page SEO
การทำ On-Page SEO เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์มีอยู่ด้วยกันหลายเทคนิค ดังนี้
การทำ Keyword Research
Keyword Research คือกระบวนการค้นหา Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหาบน Search Engine Keyword ที่ดีควรมีปริมาณการค้นหาสูง แต่มีโอกาสในการแข่งขันต่ำ
ขั้นตอนการทำ Keyword Research
- ระบุ Keyword หลัก : เริ่มต้นด้วยการระบุ Keyword หลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาเว็บไซต์ ลองนึกถึงคำที่ผู้ใช้ทั่วไปจะค้นหาเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ
- วิเคราะห์ Keyword หลัก : วิเคราะห์ปริมาณการค้นหา ความยากในการแข่งขัน และ Keyword ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
- ค้นหา Keyword รอง : ค้นหา Keyword รองเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับ Keyword หลัก แม้คำเหล่านี้มักมีการค้นหาน้อยกว่า แต่มีโอกาสในการแข่งขันที่ต่ำกว่า
- เครื่องมือ Keyword Research : ใช้เครื่องมือ Keyword Research เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush เพื่อวิเคราะห์ Keyword เพิ่มเติม
2. การเขียน Title Tag และ Meta Description
Title Tag และ Meta Description เป็นส่วนสำคัญที่แสดงบนหน้าผลการค้นหา การเขียน Title Tag และ Meta Description ที่ดีจะช่วยดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามาดูเว็บไซต์ได้
หลักการเขียน Title Tag
- กระชับ ตรงประเด็น : Title Tag ควรมีความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร อธิบายเนื้อหาหลักของหน้าเว็บไซต์
- ใส่ Keyword หลัก : ใส่ Keyword หลักไว้ที่ส่วนหน้าของ Title Tag หรือส่วนอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
- เขียนให้ดึงดูด : เขียน Title Tag ให้ดึงดูดความสนใจ กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก
หลักการเขียน Meta Description
- อธิบายเนื้อหา : Meta Description ควรมีความยาวไม่เกิน 150 ตัวอักษร อธิบายเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณเพิ่มเติมจาก Title Tag
- ใส่ Keyword : ใส่ Keyword หลักอย่างเป็นธรรมชาติ
- เขียนให้จูงใจ : เขียน Meta Description ให้จูงใจ กระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก
3. การเขียนเนื้อหา
เนื้อหาเป็นหัวใจสำคัญของเว็บไซต์ เนื้อหาที่ดีควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตรงประเด็น และดึงดูดผู้อ่าน
หลักการเขียนเนื้อหา
- ให้ข้อมูล : เนื้อหาควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตรงประเด็น และเกี่ยวข้องกับ Keyword
- โครงสร้างเนื้อหา : แบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อย่อย ใช้ Heading Tag และจัดย่อหน้าให้อ่านง่าย
- ใส่ Keyword : ใส่ Keyword หลักและรองอย่างเป็นธรรมชาติ หลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาหลักซ้ำซ้อนหรือมากเกินไปในบทความ (Keyword Stuffing)
- ปรับปรุงเนื้อหาเก่า : เนื้อหาเก่าบนเว็บไซต์อาจไม่ตรงกับหลักเกณฑ์ SEO ล่าสุด การอัปเดตเนื้อหาเก่าให้ทันสมัย เพิ่มเติมข้อมูลใหม่ ปรับโครงสร้างเนื้อหาให้ดีขึ้น ใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การใส่ Heading Tag
Heading Tag ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ การใช้ Heading Tag ที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับบนหน้าแรกของผลการค้นหาได้ดีขึ้น
ประเภทของ Heading Tag
- H1 : ใช้สำหรับหัวข้อหลักของหน้าเว็บไซต์
- H2, H3, H4, H5 : ใช้สำหรับหัวข้อย่อยรองลงมาตามลำดับ
หลักการใช้ Heading Tag
- ลำดับ Heading Tag : ใช้ Heading Tag ตามลำดับ H1 H2 H3 H4 H5 H6
- ใส่ Keyword : ใส่ Keyword ใน Heading Tag อย่างเป็นธรรมชาติ
- กระชับ ตรงประเด็น : Heading Tag ควรกระชับ ตรงประเด็น และอธิบายเนื้อหาของหัวข้อนั้น ๆ
5. การใส่ Alt Text
Alt Text เป็นข้อความที่อธิบายรูปภาพ Alt Text สำคัญสำหรับการเข้าถึงเว็บไซต์ ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้เพิ่มเติม
หลักการใส่ Alt Text
- อธิบายรูปภาพ : Alt Text ควรอธิบายเนื้อหาของรูปภาพ
- ใส่ Keyword : ใส่ Keyword ใน Alt Text อย่างเป็นธรรมชาติ
- กระชับ ตรงประเด็น: Alt Text ควรกระชับ ตรงประเด็น และอ่านเข้าใจง่าย
6. การเพิ่ม Internal Link
Internal Link คือ ลิงก์ที่เชื่อมโยงเนื้อหาระหว่างหน้าเว็บไซต์ของคุณ Internal Link ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ และยังช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาอื่น ๆ บนเว็บไซต์ของคุณจากการกดเข้าไปอ่าน Internal Link ด้วย
ประโยชน์ของ Internal Link
- ช่วยให้ Search Engine เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ : Internal Link ช่วยให้ Search Engine เข้าใจว่าหน้าเว็บฯ ต่าง ๆ บนเว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
- ช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาอื่น ๆ บนเว็บไซต์ : Internal Link ช่วยให้ผู้ใช้ค้นพบเนื้อหาอื่น ๆ ที่น่าสนใจบนเว็บไซต์
- ช่วยเพิ่ม SEO : Internal Link ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์โดยรวม
หลักการสร้าง Internal Link
- ใส่ Internal Link ในเนื้อหา : ใส่ Internal Link ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหน้าเว็บไซต์เป้าหมาย
- ใช้ Anchor Text ที่เหมาะสม : Anchor Text ควรกระชับ ตรงประเด็น และอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์เป้าหมาย
- หลีกเลี่ยงการสร้าง Internal Link มากเกินไป : การสร้าง Internal Link มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อ SEO ได้
7. การเพิ่ม External Link
External Link คือ ลิงก์ที่เชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์ภายนอก External Link ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บฯ ได้
ประโยชน์ของ External Link
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ : การเชื่อมโยงเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่เว็บไซต์ของคุณได้
- ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหา : External Link ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์
- ช่วยเพิ่ม SEO : External Link ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์โดยรวม
หลักการเลือก External Link
- เลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ : เลือกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง น่าเชื่อถือ และมี Domain Authority สูง
- ใส่ External Link ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : ใส่ External Link ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหน้าเว็บไซต์เป้าหมาย
- ใช้ Anchor Text ที่เหมาะสม : Anchor Text ควรกระชับ ตรงประเด็น และอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์เป้าหมาย
8. การปรับแต่ง URL
URL (Uniform Resource Locator) คือ ที่อยู่ของหน้าเว็บไซต์ URL ที่ดีควรสั้น กระชับ เข้าใจง่าย และมี Keyword อยู่ในนั้นด้วย
หลักการปรับแต่ง URL
- สั้น กระชับ : URL ควรมีความยาวไม่เกิน 255 ตัวอักษร URL ที่สั้นจะจดจำง่าย
- ใส่ Keyword : ใส่ Keyword หลักใน URL ช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
- การเว้นวรรค : ไม่ควรใช้เว้นวรรคใน URL แต่ให้ใช้เครื่องหมายขีด (-) แทน
- ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ : ใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษใน URL ภาษาไทยอาจแสดงผลไม่ถูกต้องบนอุปกรณ์บางชนิด
- หลีกเลี่ยงตัวอักษรพิเศษ : หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรพิเศษ เช่น & / ? ซึ่งอาจทำให้ URL อ่านยาก
9. การเพิ่ม Site Speed
Site Speed คือ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่โหลดรวดเร็วจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบนหน้าแรกของผลการค้นหา
วิธีเพิ่ม Site Speed
- บีบอัดรูปภาพ : การบีบอัดรูปภาพก่อนอัปโหลดจะช่วยลดขนาดไฟล์ ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
- ใช้ระบบแคชบนเว็บฯ เซิร์ฟเวอร์ : แคชช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดยเก็บสำเนาของไฟล์ไว้บนอุปกรณ์ของผู้ใช้
- Optimise โค้ด : โค้ดที่ยุ่งยากซับซ้อนอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้า การ Optimise โค้ดจะช่วยลบโค้ดที่ไม่จำเป็น ทำให้โค้ดกระชับ
- ใช้ CDN : CDN (Content Delivery Network) เป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก การใช้ CDN จะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น โดยส่งเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้กับผู้ใช้มากที่สุด
10. การทำให้เว็บไซต์ Mobile-Friendly
เว็บไซต์ Mobile-Friendly คือ เว็บไซต์ที่แสดงผลได้อย่างถูกต้องบนอุปกรณ์มือถือ ในปัจจุบัน ผู้ใช้จำนวนมากเข้าถึงเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ การทำให้เว็บไซต์ Mobile-Friendly จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ติดอันดับบนหน้าแรกของผลการค้นหาได้
วิธีทำให้เว็บไซต์ Mobile-Friendly
- ใช้ Responsive Design : ใช้ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรับขนาดหน้าจอได้อัตโนมัติ
- ทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์มือถือ : ทดสอบเว็บไซต์ของคุณบนอุปกรณ์มือถือต่าง ๆ
- ใช้เครื่องมือ Mobile-Friendly Test : ใช้เครื่องมือ Mobile-Friendly Test เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณ Mobile-Friendly หรือไม่
ความแตกต่างระหว่าง On-Page SEO และ Off-Page SEO
สำรับคนที่สงสัยว่า On-Page SEO กับ Off-Page SEO ต่างกันอย่างไร สำหรับ On-Page SEO คือการปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งคุณสามารถควบคุมได้โดยตรง ส่วน Off-Page SEO หมายถึงกิจกรรมภายนอกเว็บไซต์ที่สร้างแรงดึงดูดและความน่าเชื่อถือ ซึ่งคุณไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง On-Page SEO นั้นง่ายต่อการควบคุม ให้ผลลัพธ์เร็ว และมีต้นทุนต่ำ ในขณะที่ Off-Page SEO ควบคุมได้ยากกว่า ใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่มีประสิทธิภาพสูงไม่แพ้กัน
ดังนั้น หากผสมผสานการทำ On-Page และ Off-Page SEO ควบคู่กันไป ก็จะช่วยเพิ่มการจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณบนผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
สนใจอยากทำ On-Page SEO ?
On-Page SEO คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับให้อยู่ในหน้าแรกของ Google ทั้งนี้ นักทำ SEO จึงควรให้ความสำคัญ และทำ On-Page SEO อย่างถูกวิธี เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์ธุรกิจเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพสูงสุด
หากคุณต้องการความช่วยเหลือเรื่องการทำ On-Page SEO ปรึกษา Primal Digital Agency ได้เลย เราคือเอเจนซีรับทำ SEO ชั้นนำที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาและบริการด้าน SEO สามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจบนโลกออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรึกษาเราได้เลยตอนนี้
Join the discussion - 0 Comment