Long-tail Keywords คืออะไร ปัจจัยที่ช่วยให้ทำ SEO ง่ายขึ้น
เมื่อทุกธุรกิจผันตัวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ การทำ SEO (Search Engine Optimization) ก็กลายเป็นสิ่งที่นักการตลาดทุกคนต้องให้ความสนใจ เพราะการจะมีที่ยืนในแวดวงธุรกิจได้ ก็ต้องเริ่มจากการสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองด้วยการขึ้นเป็นอันดับแรก ๆ บนหน้าผลการค้นหาเสียก่อน และการหาคีย์เวิร์ด (Keyword Research) ก็เป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO เนื่องจากคีย์เวิร์ดคือสิ่งที่ผู้ใช้งานใช้ค้นหาเกี่ยวกับสินค้าและบริการของเรา หากเรานำคีย์เวิร์ดเหล่านั้นมาสร้างคอนเทนต์ เว็บไซต์ของเราก็จะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google อันจะนำมาซึ่งจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) ที่มากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อพื้นที่โฆษณา
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีนักการตลาดจำนวนมากพยายามใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กัน ก็ส่งผลให้เกิดการแข่งขันสูงเพื่อจะเป็นอันดับแรก การทำ SEO จึงกลายเป็นเรื่องท้าทาย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะขึ้นสู่การเป็นอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของคีย์เวิร์ดนั้น ๆ ท่ามกลางธุรกิจแบบเดียวกันอีกเป็นร้อยเป็นพัน และนั่นเป็นสาเหตุให้หลายแบรนด์เริ่มมีการนำ “Long-tail Keywords“ มาปรับใช้มากขึ้น
Table of Contents
Long-tail Keywords คืออะไร
หากพูดถึงเรื่องคีย์เวิร์ด ธุรกิจหรือองค์กรที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO จะรู้กันดีว่ามีให้เลือกใช้หลากหลายนับไม่ถ้วน ที่เราได้ยินบ่อย ๆ จะสามารถแบ่งออกได้เป็น Short-tail Keywords และ Long-tail Keywords ซึ่ง Short-tail จะเป็นคีย์เวิร์ดที่คนส่วนมากมักใช้ค้นหากันเป็นประจำ คือ เป็นคำสั้น ๆ กว้าง ๆ ไม่ได้เฉพาะเจาะจง เช่น “รองเท้า” “กระเป๋า” “เสื้อผ้า” เป็นต้น เมื่อมีการค้นหาสูง หลายธุรกิจก็เลือกใช้คีย์เวิร์ดประเภทนี้เพื่อสร้างอัตราการมองเห็น ส่งผลให้การแข่งขันย่อมสูงตามไปด้วย เช่นนั้น Long-tail Keywords จึงจำเป็น
Long-tail Keywords คือ คีย์เวิร์ดที่เป็นกลุ่มคำ หรือวลีมากกว่าสองคำขึ้นไป โดยจะมีความเฉพาะเจาะจงถึงแบรนด์ สินค้า บริการ หรือตัวแคมเปญมากกว่า Short-tail Keywords เช่น “รองเท้าผ้าใบสำหรับผู้ชาย ราคาไม่แพง” “กระเป๋าแบรนด์ไทยราคาหลักร้อย” “น้ำหอมกลิ่นหวาน ๆ สำหรับผู้หญิง” เป็นต้น ซึ่งความเจาะจงนี้ทำให้ยอดการค้นหา (Search Volume) ของคีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ต่ำกว่าคีย์เวิร์ดแบบ Short-tail ด้วย
ถึงแม้ว่า Long-tail Keywords จะมียอดการค้นหาต่ำและอาจไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่า Short-tail แต่ความจริงแล้ว คีย์เวิร์ดที่มีความยาวที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะมียอดการค้นหาน้อยที่สุดเสมอไป ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่อหนึ่งคลิก (Cost Per Click: CPC) ก็ไม่ได้ต่ำที่สุดเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น จากผลสำรวจข้อมูลการค้นหาคีย์เวิร์ดของผู้ใช้งาน พบว่า กลุ่มคำที่มียอดการค้นหาน้อย หรือ Long-tail Keywords นั้น สามารถสร้าง Conversion ที่นำไปสู่ยอดขายได้มากกว่า ซึ่งหากธุรกิจใดมีเป้าหมายด้านการเพิ่มยอดขาย การใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ก็ถือว่าตอบโจทย์มากทีเดียว
นอกจากนี้ การใช้ Long-tail Keywords ยังเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการติดอันดับการค้นหาด้วยวิธีออร์แกนิกอีกด้วย เพราะเมื่อคู่แข่งน้อย การแข่งขันก็จะไม่สูง ทำให้สามารถติดอันดับบนหน้าแรกได้ง่าย
เทคนิคการใช้ Long-Tail Keywords ให้มีประสิทธิภาพ
ถึงการใช้ Long-tail Keywords จะสามารถสร้างโอกาสในการไต่อันดับขึ้นไปอยู่ตำแหน่งแรก ๆ บนหน้าการค้นหา รวมถึงสร้างแนวโน้มให้เกิด Conversion ได้ก็จริง แต่เนื่องจากการทำ SEO นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนมองเห็นและสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น เราจึงควรใช้ Long-tail Keywords หลาย ๆ คำเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้และปริมาณของคนที่จะค้นพบเว็บไซต์ของเรา ทั้งยังต้องคำนึงถึงความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดกับสินค้าหรือบริการที่เรามีด้วย เพราะต่อให้เราโฟกัสคีย์เวิร์ดยอดนิยม แต่คอนเทนต์ที่เขียนไม่มีคุณภาพ หรือไม่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่ใช้ ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้งานออกจากหน้าเว็บไซต์ของเราอย่างง่ายดาย ซึ่งจะกระทบต่อผลลัพธ์ SEO ด้วย
ดังนั้น วันนี้เราจะมาบอกเทคนิคการหา Long-tail Keywords ให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกัน !
ค้นหาคีย์เวิร์ดด้วยการแนะนำของ Google
การหา Long-tail Keywords แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ วิธีแรก คือ การพิมพ์คีย์เวิร์ด หรือสิ่งที่เราอยากรู้ลงในช่องการค้นหา แล้ว Google จะแนะนำคำที่กำลังเป็นที่นิยมในการค้นหานั้น ๆ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทำให้เราสามารถรู้ได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่คนกำลังนิยมใช้ แล้วนำมาปรับใช้กับการทำ Long-tail Keywords ของสินค้าหรือบริการของเรา
เมื่อเราใส่คีย์เวิร์ดและกดค้นหาแล้ว จะเห็นได้ว่า เราสามารถหา Long-tail Keywords จากฟีเจอร์ “People also ask” และ “Related Searches” บนหน้าแรกของ Google ได้เช่นกัน ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้เป็นคำที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะหาคำตอบที่ Google แนะนำมาให้
หลังจากที่ได้ไอเดีย Long-tail Keywords แล้ว เราสามารถนำกลุ่มคีย์เวิร์ดที่สนใจมาเช็กด้วยเครื่องมือ Google Keyword Planner, Google Search Console หรือ Ubersuggest เพื่อค้นหา Search Volume หรือจำนวนคำที่ถูกค้นหา เพื่อให้ได้มาซึ่งคำที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับเว็บไซต์เรา
ศึกษาไอเดียจากคู่แข่ง หรือเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้ดี
การศึกษาคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคู่แข่ง หรือเว็บไซต์ที่สามารถทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราได้เห็นแนวคิดในการทำ SEO รวมถึงได้ไอเดียมาต่อยอดในการทำ Long-tail Keywords โดยสามารถศึกษาจากเว็บไซต์คู่แข่งที่ติดอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google ซึ่งทุกอย่างบนเว็บไซต์สามารถเป็นคีย์เวิร์ดที่สร้างประสิทธิภาพในการจัดอันดับการค้นหาได้
สังเกตพฤติกรรมการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย
หนึ่งในวิธีที่จะสร้าง Long-tail Keywords ให้มีคุณภาพ คือการเข้าถึงสิ่งที่กลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มคนที่มีแนวโน้มว่าจะมาเป็นลูกค้าของเรากำลังสนใจ โดยสามารถทำได้ดังนี้
เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย
การทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะค้นหาสินค้าหรือบริการของเรา จะทำให้เราเจอคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งสามารถศึกษาได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้ การศึกษา เพศ หรือลักษณะการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ
สอบถามข้อมูลความพึงพอใจในการใช้สินค้าและบริการจากผู้ใช้จริง
การที่เราได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแบรนด์ของตัวเองจากผู้ใช้จริง ผ่านการสอบถามและพูดคุย จะทำให้สามารถนำสิ่งที่ลูกค้าประทับใจ ทั้งในรูปแบบการบริการหรือตัวผลิตภัณฑ์ มาใช้ในการหาไอเดียเพื่อสร้าง Long-tail Keywords ได้
สังเกตจากเทรนด์สังคมออนไลน์
การศึกษาจากแหล่งคอมมิวนิตีอย่าง Facebook Group หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มีการพูดถึงคอนเทนต์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของเรา จะทำให้รู้ว่าคำถามที่ลูกค้ามักสงสัยคืออะไร ตลอดจนกลุ่มที่มีแนวโน้มว่าจะมาเป็นลูกค้าของเรามีความเห็นอย่างไร
ใช้เครื่องมือในการค้นหา
เราสามารถใช้เครื่องมือในการค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีแนวโน้มว่าจะมีประสิทธิภาพกับธุรกิจของเราได้ โดยสำหรับใครที่ยังไม่มีไอเดียสำหรับคีย์เวิร์ดแบบ Long-tail ก็สามารถเริ่มจากการค้นหา Short-tail Keywords หรือกลุ่มคำที่มี Search Volume สูงก่อนได้ ด้วยการใช้เครื่องมือทางการตลาดอย่าง Google Trend รวมถึงเครื่องมือบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น YouTube’s Keyword Tool หรือ Twitter Search ในการค้นหาประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดที่เราสนใจ อีกทั้งยังทำให้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้ที่ทำการค้นหาคำเหล่านี้ได้ด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราสามารถนำไปวางแผนต่อยอดการทำแคมเปญในอนาคตได้
สรุป
ดังนั้น การทำ Long-tail Keywords จึงจัดเป็นเทคนิคหนึ่งที่คนทำ SEO ไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์เราแล้ว ยังส่งผลให้มีโอกาสติดอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google มากขึ้นด้วย อันจะนำมาซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ข้อควรระวังคือ เราจำเป็นต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายของตนเองให้ดีพอเสียก่อน กล่าวคือ รู้ให้ลึกและถูกต้องชัดเจนว่า กลุ่มเป้าหมายของเรามักค้นหาคำว่าอะไรเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงศึกษาจากคู่แข่งด้วยว่าพวกเขาใช้คีย์เวิร์ดใดในการทำ SEO และที่สำคัญ อย่าพยายามยัดคีย์เวิร์ดมากเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
การแข่งขันในตลาดทุกวันนี้ยิ่งมีอัตราสูงขึ้นเรื่อย ๆ ต่อให้ธุรกิจของคุณมีความเฉพาะกลุ่มมากแค่ไหน แต่ก็จะยังมีคู่แข่งทางตรงไม่ก็ทางอ้อมผุดขึ้นมาแทบจะรายวันอยู่ดี การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จจึงอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แนะนำให้มองหาผู้เชี่ยวชาญที่มีความแม่นยำในด้านนี้เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่ง Primal Digital Agency บริษัทรับทำ SEO ชั้นนำของไทย มีความยินดีที่จะช่วยนำพาธุรกิจของคุณไปสู่หน้าแรกบน Google
Join the discussion - 0 Comment