Google Keyword Planner คืออะไร ใช้ยังไงให้คอนเทนต์ติดอันดับ?

การเขียนบทความหรือการสร้างคอนเทนต์ใด ๆ ลงบนเว็บไซต์ของตนเองให้ประสบความสำเร็จในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเมื่อมีธุรกิจมากมายหลายประเภทหันมาใช้กลยุทธ์การตลาดในรูปแบบคล้าย ๆ กัน การแข่งขันก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่อาจห้าม ดังนั้น การเขียนคอนเทนต์จึงไม่ใช่แค่การนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน นึกอยากจะเขียนอะไรก็เขียนอีกต่อไป แต่ต้องมีการเลือกใช้ “คีย์เวิร์ด (Keyword)” หรือคำที่มีแนวโน้มว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนิยมพิมพ์ค้นหามากที่สุด โดยตัวคีย์เวิร์ดนี้เองจะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างคอนเทนต์ของเราเพื่อดันไปสู่การติดอันดับ SEO แต่! ทำอย่างไรล่ะ เราถึงจะรู้ว่าผู้ใช้งานชอบใช้คีย์เวิร์ดไหนในการค้นหา? เพราะแบบนั้นเอง นักการตลาดทั้งหลายจึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่เข้ามาช่วยในการทำ Keyword Research หรือช่วยค้นหาคำที่เราควรใช้ได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เราสร้างสรรค์บทความได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และเครื่องมือที่จะแนะนำดังต่อไปนี้ก็มีชื่อว่า “Google Keyword Planner” เครื่องมือฟรีจาก Google ที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ทุกคนต้องรู้จัก!

สมัคร Google Keyword Planner ทำยังไง

Google Keyword Planner คืออะไร?

แน่นอนว่านักเขียนหลาย ๆ คนต้องเคยประสบปัญหาการเขียนคอนเทนต์แล้วไม่มีคนค้นพบ หรือมีแต่ก็น้อยจนรู้สึกท้อ เคยสงสัยไหมว่าทำไมหลาย ๆ ครั้ง พยายามเขียนแทบตายแต่ก็ยังไม่ขึ้นหน้าแรกของ Google สักที นั่นก็เพราะว่าเราอาจยังไม่มีคีย์เวิร์ดที่ใช่! เพราะฉะนั้น การทำ Keyword Research จะช่วยนำทางให้เราเขียนคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และหากเราใช้คีย์เวิร์ดตรงตามที่หามาได้ ก็จะทำให้คอนเทนต์ของเราติดหน้าแรกบน Google ได้อย่างแน่นอน โดย Google Keyword Planner คือเครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ดซึ่ง Google ออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อเหล่าผู้ประกอบการโดยเฉพาะ มีประโยชน์อย่างมากในการทำ Digital Marketing ไม่ว่าจะเป็น Google Ads, SEO หรือ SEM ก็ตาม

Google Keyword Planner มีหลักการทำงานโดยการตรวจสอบคีย์เวิร์ด ว่าในแต่ละเดือนมีผู้ค้นหาคำนั้น ๆ จำนวนมากน้อยเท่าไร ซึ่งการตรวจสอบในลักษณะนี้จะช่วยให้เราทราบว่าคีย์เวิร์ดที่เรามองหานั้นได้รับความนิยมมากพอที่จะนำมาเขียนคอนเทนต์หรือทำโฆษณาหรือไม่ โดยหากใช้คีย์เวิร์ดที่ได้รับความนิยมมาก บทความของเราก็มีโอกาสติดอันดับ SEO มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น Keyword Planner คือเครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้บริโภคกำลังต้องการ รู้เท่าทันเทรนด์ที่กำลังเป็นกระแสในโซเชียลฯ ตลอดจนเพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) ให้แก่เราได้อีกด้วย

 

Google Keyword Planner ใช้ยังไง?

เมื่อรู้จักเครื่องมือช่วยวางแผนคีย์เวิร์ดอย่าง Google Keyword Planner กันไปคร่าว ๆ แล้ว หลายคนก็อาจมีคำถามที่ตามมาว่า แล้ว Google Keyword Planner ใช้ยังไงล่ะ? ซึ่งจะมีวิธีการง่าย ๆ ดังนี้

วิธีสมัครใช้งานบัญชี Keyword Planner

  • ก่อนอื่น ต้องสมัครบัญชี Google Account ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งเราสามารถใช้เป็นบัญชีส่วนตัวหรือบัญชีสำหรับธุรกิจก็ได้ จากนั้นเข้าไปที่ลิงก์ Keyword Planner หรือค้นหาคำว่า Keyword Planner
  • คลิกที่ Go to Keyword Planner (ไปที่เครื่องมือวางแผนคีย์เวิร์ด)
  • เมื่อระบบถามว่า “What’s your main advertising goal?” ยังไม่ต้องกดเลือก แต่ให้กดเลือกเมนูด้านล่างสุดที่เขียนว่า “Experienced with Google Ads?”
  • คลิกที่ “Create an account without a campaign” เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้ลิงก์สำหรับทำแคมเปญโฆษณา
  • คลิก “Submit” ในหน้าถัดไป ก็เป็นอันว่าสมัครบัญชี Google Keyword Planner เสร็จสมบูรณ์
  • เมื่อเข้าใช้งาน Google Keyword Planner ได้แล้ว ให้เข้าไปที่ปุ่ม Tools และเลือก “Switch to expert mode”
  • กดเลือกเมนู Tools อีกครั้ง แล้วเราจะเห็นเมนู Keyword Planner ใต้เมนู Planner

วิธีการใช้งาน Google Keyword Planner

Google Keyword Planner จะมีวิธีการค้นหาคีย์เวิร์ดอยู่ 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ Discover New Keywords คือการหาว่าคีย์เวิร์ดไหนที่คนทั่วไปให้ความสนใจในช่วงเวลานั้น ๆ มากน้อยเพียงใด โดยสามารถใส่คีย์เวิร์ดสูงสุดได้ถึง 10 คำ และ Get Search Volume and Forecasts คือการทราบจำนวนการค้นหาของคีย์เวิร์ดในแต่ละเดือนว่าอยู่ที่เท่าไร ซึ่งทั้งสองประเภทมีหลักการใช้งานดังนี้

Discover New Keywords

เมื่อเข้ามาที่หน้า Keyword Planner แล้ว ให้เลือก Discover New Keywords จากนั้นเราจะเห็นกล่องข้อความที่สามารถใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการค้นหาลงไปเพื่อเปรียบเทียบจำนวนการค้นหาในแต่ละเดือน โดยเราสามารถเลือกใช้คำที่เป็นคำ ๆ เดียว วลี หรือแม้แต่ลิงก์ URL ก็ได้เช่นกัน

ถัดมา เมื่อเราคลิก Get Result แล้ว คำที่เราค้นหา รวมถึงคำที่เกี่ยวข้องก็จะปรากฏขึ้นมา นอกจากนี้ เรายังจะได้เห็นข้อมูลส่วนอื่น ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการวัดผลและต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้อีกด้วย ซึ่งข้อมูลดังกล่าวประกอบไปด้วย

  • Average Monthy Searches คือ จำนวนการค้นหาโดยเฉลี่ยต่อเดือน มาจากการคำนวณทั้งจากคีย์เวิร์ดและคำที่ใกล้เคียงกัน
  • Competition คือ ระดับการแข่งขันของคำที่เราเลือก แบ่งได้อีก 3 ระดับ ได้แก่ ระดับสูง ระดับกลาง และระดับต่ำ
  • Top of Page Bid (High Range) คือ การแสดงราคา Bid หรือราคาประมูลเฉลี่ยในอันดับที่สูงที่สุด หรืออันดับบน ๆ บนหน้าการค้นหา (Search Engine)
  • Top of Page Bid (Low Range) คือ การแสดงราคา Bid หรือราคาประมูลเฉลี่ยในอันดับที่ต่ำที่สุด หรืออันดับท้าย ๆ บนหน้าการค้นหา (Search Engine)

Get Search Volume and Forecasts

หลังจากที่ได้จำนวนคีย์เวิร์ดครบตามที่ต้องการแล้ว เราก็จะเริ่มใช้เครื่องมือ Forecast เพื่อค้นหาคำที่จะสามารถนำมาใช้เป็นไอเดียในการเขียนคอนเทนต์ โดยเราจะเห็นว่าจำนวนคลิกและ Impressions ของแต่ละคีย์เวิร์ดนั้นมีจำนวนเท่าใด ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้นักการตลาดสามารถนำมาคาดการณ์ได้ว่าคีย์เวิร์ดเหล่านั้นเหมาะสมที่จะนำไปสร้างแคมเปญโฆษณาหรือไม่ นอกจากนี้ ตัวเครื่องมือยังเผยให้เห็นข้อมูลราคาของคีย์เวิร์ดโดยเฉลี่ย รวมถึง Click Through Rate (CTR) และ Cost Per Click (CPC) ด้วย

โดยทั่วไปแล้ว นักการตลาดมักใช้เครื่องมือ Forecast เพื่อทำแคมเปญโฆษณา โดยสามารถเข้าไปที่ “Historical Metrics” เพื่อดูผลลัพธ์ของ Search Volume ได้ไกลถึง 12 เดือนย้อนหลังเลยทีเดียว

 

เทคนิคการใช้ Google Keyword Planner แบบมือโปรฯ

หลังจากได้รู้จักวิธีการใช้งาน Google Keyword Planner ในขั้นต้นกันไปแล้ว และเพื่อให้คอนเทนต์ของเรามีคุณภาพขึ้นไปอีกระดับ เราก็ควรจะต้องรู้จักเทคนิควิธีการใช้งานแบบมือโปรฯ ด้วย ซึ่งเทคนิคการใช้ Google Keyword Planner คือ

เซิร์ชคีย์เวิร์ดมากกว่า 1 คำขึ้นไป

เมื่อต้องการค้นหาไอเดียใหม่ ๆ ในการสร้างคอนเทนต์ เราควรเซิร์ชหาคีย์เวิร์ดมากกว่า 1 คำขึ้นไปทุกครั้งเพื่อความแม่นยำ เพราะเวลาที่ผู้ใช้งานเซิร์ชบน Google นั้นไม่ได้มีเพียงคีย์เวิร์ดเดียว แต่จะมีคีย์เวิร์ดที่ใกล้เคียงกันอีกหลายคำซึ่งเราจำเป็นต้องดู และที่สำคัญ อย่าลืมใช้ลิงก์ URL ในการวัดผลด้วย

เปลี่ยนคำถามให้เป็นคีย์เวิร์ด

หากเราลองมองในมุมของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการค้นหาสินค้าหรือบริการ บางครั้งเราก็ไม่ได้พิมพ์แค่คำ ๆ เดียว หรือแค่วลีสั้น ๆ แต่อาจพิมพ์เป็นคำถามที่ยาวขึ้นมาอีกนิด เช่น หากเรากำลังมีความคิดที่จะจ้างดิจิทัลเอเจนซีหนึ่ง ๆ เพื่อมาช่วยทำการตลาดออนไลน์ เราก็อาจเซิร์ชว่า “เลือก Digital Agency เจ้าไหนดี” แทนที่จะเซิร์ชคำว่า Digital Agency เพียงอย่างเดียว ดังนั้น การใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นคำถาม จึงสามารถช่วยทำให้ผู้ที่ค้นหาคีย์เวิร์ดนั้น ๆ เจอคอนเทนต์ของเราง่ายขึ้น โดยวิธีการตั้งค่าคีย์เวิร์ดให้เป็นคำถามสามารถทำได้ดังนี้

  • เข้าไปที่เมนู Filter จากนั้นเลือกเมนู Keyword Text
  • เลือก Contains และเลือกคำถามที่ต้องการเขียนเพื่อหาคีย์เวิร์ด เช่น Who, What, Where, When, Why, How เป็นต้น

ค้นหาคีย์เวิร์ดที่สามารถสร้างกำไรได้จาก Suggested Bid

Keyword Suggestions ใน Google Keyword Planner คือระบบการวัดผลความสำเร็จของคีย์เวิร์ดแต่ละคำ โดยสามารถใช้ฟีเจอร์ “Top of Page Bid (High Range)” เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดใดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาบ้าง

เลือก Keyword Volumes จากสถานที่

แม้ว่าเครื่องมือ Keyword Research จะไม่สามารถบอกเราได้ว่าคีย์เวิร์ดที่เราต้องการนั้นมาจากผู้ใช้งานในจังหวัดอะไรหรือเมืองไหนเป็นคนค้นหาบ้าง แต่เราทำได้โดยการใช้ฟิลเตอร์ “Location” ที่จะช่วยทำให้เห็นว่าคนในเมืองนั้น ๆ มียอดการเข้าถึง (Reach) คีย์เวิร์ดอยู่ที่เท่าไรบ้าง อันจะเป็นผลดีต่อการทำธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าว และถ้าหากต้องการข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ ก็สามารถเลือกฟีเจอร์ “Your Targeted Locations” เพื่อแสดงรายละเอียดในแต่ละจังหวัดได้เช่นกัน

 

สรุป

หมดไปแล้วกับอีกคำถามที่ว่า Google Keyword Planner ใช้ยังไง โดยหากเราใช้เครื่องมือนี้ได้แบบมืออาชีพแล้วละก็ การทำคอนเทนต์ของเราจะมีประสิทธิภาพขึ้นอีกมาก เพราะได้คีย์เวิร์ดที่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไป ทำให้พวกเขาค้นหาเว็บไซต์หรือบล็อกของเราเจอ อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในการพัฒนาแคมเปญโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ดังนั้น Keyword Planner คือเครื่องมือฟรีที่ช่วยให้เราได้สร้างสรรค์คอนเทนต์ได้อย่างมีคุณภาพกว่าเดิม ตลอดจนช่วยให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์อยู่สูงขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ ก็ต้องอย่าลืมว่าคีย์เวิร์ดที่ใช้จะต้องตรงกับเทรนด์หรือกระแสสังคมอยู่เสมอด้วยเพื่อให้ได้ผลที่ดียิ่งขึ้น