Generative AI คืออะไร ? ตัวช่วยให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด
ในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยข้อมูล เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามองคือ “Generative AI” หรือปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ เทคโนโลยีที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งนำไปสู่การพลิกโฉมการทำงานในวงการต่าง ๆ ให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ด้วย
Generative AI คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร และแตกต่างจาก AI ปกติอย่างไรบ้าง บทความนี้จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัยอย่างละเอียด ติดตามพร้อมกันข้างล่างนี้เลย !
Table of Contents
Generative AI คืออะไร ?
Generative AI คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเภทหนึ่งที่มีความสามารถในการสร้างเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอ หรือโมเดลสามมิติ โดยอาศัยการประมวลผลจากชุดข้อมูลและรูปแบบที่มีอยู่เดิม
Generative AI ทำงานด้วยอัลกอริทึมประเภท Generative Model เช่น Generative Adversarial Networks (GANs), Variational Autoencoders (VAEs), และ Autoregressive Models โดยจะสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามข้อมูลนำเข้า (Prompts) ที่ป้อนให้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของ Generative AI คือ ChatGPT ซึ่งเป็น AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถามและสร้างข้อความได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึง DALL-E ซึ่งเป็น AI Text-to-Image ที่สามารถสร้างรูปภาพจากคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป
กลไกการทำงานของ Generative AI
Generative AI ทำงานโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องที่เรียกว่า “การเรียนรู้เชิงกำเนิด” (Generative Learning) ซึ่ง AI จะเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมากและสร้างรูปแบบหรือแพตเทิร์นของข้อมูล จากนั้น AI จะใช้รูปแบบเหล่านี้สร้างเนื้อหาใหม่ ๆ
ตัวอย่างการใช้งาน Generative AI
- การออกแบบกราฟิก : Generative AI สามารถออกแบบกราฟิกได้หลากหลายประเภท เช่น โลโก้ โปสเตอร์ อินโฟกราฟิก และแบนเนอร์ เพียงแค่ระบุรายละเอียด AI จะออกแบบงานกราฟิกที่สอดคล้องกับความต้องการนั้น
- การออกแบบเว็บไซต์ : นอกจากการออกแบบส่วนหน้า (Front-end) แล้ว Generative AI ยังสามารถออกแบบส่วนหลัง (Back-end) ของเว็บไซต์ได้ด้วย ทั้งสไตล์โมเดิร์นสำหรับร้านค้าออนไลน์ หรือสไตล์อื่น ๆ
- การออกแบบบรรจุภัณฑ์ : Generative AI ช่วยออกแบบบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าประเภทต่าง ๆ ได้
- การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ : หากต้องการเฟอร์นิเจอร์สไตล์ใดสไตล์หนึ่ง เช่น มินิมอล คลาสสิก หรือสไตล์อื่น ๆ สามารถป้อนคำสั่งไปยัง Generative AI เพื่อให้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ตามสไตล์ที่ระบุ
- การสร้างแบบจำลอง 3 มิติ : จากภาพหรือข้อความอธิบาย Generative AI สามารถสร้างแบบจำลอง 3 มิติ ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานในการสร้างแบบจำลองแบบดั้งเดิม
- การแปลภาษา : Generative AI ช่วยแปลภาษาจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่ง โดยไม่สูญเสียความหมายของข้อความ ช่วยลดอุปสรรคด้านภาษาได้เป็นอย่างดี
- การเขียนโค้ด : สำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ Generative AI สามารถเขียนโค้ดให้ได้ตามคำอธิบายที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมคำนวณทางคณิตศาสตร์ แอปพลิเคชันมือถือ หรือเว็บไซต์
- การวิเคราะห์ข้อมูล : Generative AI มีศักยภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และค้นหาความสัมพันธ์หรือแนวโน้มที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลนั้น ช่วยให้องค์กรตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Generative AI vs. AI ทั่วไป อะไรคือความแตกต่าง ?
แม้จะใกล้เคียง แต่ Generative AI vs. AI มีความแตกต่างกันอยู่
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นคำกว้าง ๆ ที่ครอบคลุมเทคโนโลยี AI ทั้งหมดที่มีการทำงานอย่างชาญฉลาด ไปจนถึงระบบขั้นสูงที่สามารถเลียนแบบกระบวนการคิดของมนุษย์ได้ เช่น งานด้านตรรกะ การคำนวณ และการวิเคราะห์ข้อมูล
ในขณะที่ Generative AI คือประเภทหนึ่งของ AI ที่มุ่งเน้นไปที่การสร้าง “เนื้อหาใหม่ ๆ” Generative AI จะเรียนรู้จากรูปแบบและข้อมูลที่มีอยู่ และใช้รูปแบบเหล่านี้สร้างเนื้อหาใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น การเขียนบทความ การแต่งเพลง การออกแบบกราฟิก หรือการสร้างภาพ
ข้อดีของ Generative AI
- เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ : Generative AI สามารถช่วยนักเขียน นักออกแบบ และนักดนตรีสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและแรงงาน
- ผลงานมีความหลากหลายและไม่ซ้ำใคร : เนื่องจาก Generative AI เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก จึงสามารถสร้างผลงานที่แปลกใหม่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำกับผลงานอื่น ๆ
- ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ : Generative AI ช่วยให้นักพัฒนาสามารถคิดค้นและออกแบบแอปพลิเคชัน เกม หรือสินค้าใหม่ ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์และตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างแม่นยำ
- ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน : ด้วยความสามารถของ Generative AI ในการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ จึงช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านการช็อปปิง การท่องเที่ยว การศึกษา และการบริการลูกค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพในหลากหลายอุตสาหกรรม : Generative AI สามารถประยุกต์ใช้งานได้กับหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การเงิน และการเกษตร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
ข้อจำกัดของ Generative AI
- ผลลัพธ์อาจไม่ตรงกับความคาดหวัง : เนื่องจาก Generative AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มีอยู่ ผลงานที่ได้จึงอาจไม่สมบูรณ์แบบ หรือไม่ตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการทุกครั้ง
- การควบคุมผลลัพธ์ทำได้ยาก : ผู้ใช้อาจต้องลองปรับแต่งคำสั่งต่าง ๆ หลายรอบ จึงจะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ
- ประเด็นปัญหาด้านจริยธรรม : การใช้งาน Generative AI อาจนำไปสู่ประเด็นปัญหาด้านจริยธรรมได้ เช่น การสร้างข่าวปลอม การปลอมแปลงวิดีโอหรือเสียง (Deepfake) หรือการสร้างผลลัพธ์ที่มีลักษณะเลือกปฏิบัติกลุ่มคนบางกลุ่ม
สนใจใช้ Generative AI ในการช่วยทำธุรกิจ ?
จะเห็นได้ว่า Generative AI คือเทคโนโลยีที่ทรงพลัง ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของธุรกิจ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจเติบโตได้
ทั้งนี้ เมื่อเข้าใจถึงศักยภาพและข้อจำกัดของ Generative AI แล้ว สิ่งสำคัญคือการนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจของคุณ หากต้องการคำแนะนำในการวางกลยุทธ์ Primal digital Agency พร้อมให้คำปรึกษา เราคือเอเจนซีรับทำ SEO และกลยุทธ์ที่ครอบคลุมการตลาดและธุรกิจทุกรูปแบบ ติดต่อเราวันนี้ เพื่อปรึกษากลยุทธ์ทางธุรกิจฟรี พร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจคุณในอนาคต !
Join the discussion - 0 Comment