Bounce Rate คืออะไร ถ้าอยากติกแรงก์ต้องให้ความสำคัญ!

ในบรรดาเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เครื่องมือค้นหา (Search Engines) โดยเฉพาะ Google นำมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อจัดอันดับผลการค้นหาต่าง ๆ นั้นมีอยู่มากมาย โดยมีสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้อย่างการเลือกใช้คีย์เวิร์ด แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ยากเกินกว่าจะควบคุม เพราะเป็นปัจจัยที่เกิดจากผู้ใช้งาน อย่างเช่น ระยะเวลาของผู้เข้าใช้งานในเว็บไซต์ของเรา ซึ่ง Google จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมด้วยเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาอธิบายให้คุณรู้กันว่า Bounce Rate ในบริบทของ Google Analytics คืออะไร เพื่อที่คุณจะได้นำไปปรับใช้และเพิ่มโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ใช้เวลาในเว็บไซต์ของคุณได้นานยิ่งขึ้น!

Bounce Rate คืออะไร

Bounce Rate คือ อัตราที่เกิดขึ้นจากยอดของการมีผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณแล้วกดออก โดยไม่มีการกดปุ่ม Action หรือปฏิสัมพันธ์ใด ๆ ในเว็บไซต์ หรือกดไปหน้าอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว โดยระบบของ Google Analytics จะทำการจดจำยอดเหล่านี้และประเมินค่าออกมาเป็นยอด Bounce Rate นั่นเอง

การคำนวณ Bounce Rate

ปกติแล้ว ในส่วนของการ Analytics เว็บไซต์นั้น คุณจะสามารถตรวจดูยอด Bounce Rate ที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ซึ่งระบบจะทำการคำนวณเอาไว้ให้ ซึ่งสูตรการคำนวณ Bounce Rate คือ

ยอดเข้าชมเว็บไซต์ที่มีการดูเพียงหน้าเดียว ÷ ยอดการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมด = ยอด Bounce Rate

Bounce Rate ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่?

ไม่ว่าค่า Bounce Rate ของคุณจะออกมาต่ำหรือสูงก็อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะประเภทของธุรกิจที่ต่างกันก็มีค่ากลางของ Bounce Rate ที่ต่างกันเช่นกัน โดยปกติแล้วค่า Bounce Rate ที่จำแนกตามประเภทธุรกิจหรือประเภทของเว็บไซต์ต่าง ๆ มีดังนี้

  • สำหรับเว็บไซต์ E-commerce หรือเว็บไซต์ขายปลีก ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 20%-45%
  • Bounce Rate ของเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ Business to Business (B2B) คือ 25%-55%
  • เว็บไซต์ทั่วไปหรือ Lead Generation Websites มีค่า Bounce Rate อยู่ที่ 30%-55% ซึ่งถือว่าเป็นค่ากลางสำหรับยอด Bounce Rate 
  • เว็บไซต์ที่มีการนำเสนอเนื้อหาต่าง ๆ และไม่ได้เป็น E-commerce ควรมีค่า Bounce Rate ที่ 35%-60%
  • เว็บไซต์ที่มีจุดประสงค์แบบเจาะจงอย่าง Landing Pages หรือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูล ข่าวสาร บทความต่าง ๆ นั้นมีค่า Bounce Rate มาตราฐานสูงกว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งก็คือ 60%-90%
  • Bounce Rate ที่อยู่ในเกณฑ์ระดับดีมาก

Bounce Rate สำคัญอย่างไร? 

ยอด Bounce Rate เป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของเว็บไซต์ได้ โดยเทียบง่าย ๆ คือ ถ้าหากคุณมียอด Bounce Rate ที่สูงเกินกว่าค่ามาตราฐาน นั่นอาจหมายถึงโอกาสที่คุณจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใช้งานได้น้อยลง รวมถึงอาจจะลดยอด Traffic ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต อีกทั้งการจะได้ขึ้นแรงก์อันดับสูง ๆ ก็จะยากขึ้นไปด้วย เพราะระบบของ Google Analytics นั้นจะมองว่าคุณภาพของเว็บไซต์นั้น ๆ ไม่ได้สูงตามเกณฑ์มาตราฐาน ดังนั้นคุณควรที่จะเช็กยอด Bounce Rate อย่างสม่ำเสมอและหาทางแก้ปัญหา เพื่อโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะได้ขึ้นแรงก์ได้ง่ายขึ้น 

ทำอย่างไรให้ยอด Bounce Rate อยู่ในเกณฑ์ที่ดี? 

เพิ่ม Page Speed 

สิ่งสำคัญที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ตก็คือการที่เว็บไซต์ของคุณจะต้องโหลดเร็ว! ประมวลผลเร็ว! เพื่อผู้ใช้งานรู้สึกประทับใจ เพราะคุณต้องเข้าใจว่า ความเร็วของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันมาถึง 5G แล้ว แต่ถ้าเว็บไซต์ของคุณยังโหลดแบบ 2G แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

ใช้หลักการ UX Design

หลายครั้งที่ผู้ใช้งานเลือกกดออกจากเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่ง เนื่องจากเรื่องของรูปแบบการดีไซน์เว็บไซต์ ที่อาจจะดูไม่เป็นระเบียบ ตัวอักษรเล็กเกินไป รวมถึงการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ จนปวดตา ดังนั้นคุณควรที่จะออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้อิงกับหลัก User Experience (UX) Design เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้นได้

คุณภาพของเนื้อหา

อีกสิ่งที่คุณไม่ควรละเลยก็คือ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ใช้คำที่เหมาะสม สะกดถูกต้องรวมไปถึงความถูกต้องของเนื้อหาก็ต้องแม่นยำและมีความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งการทำให้เนื้อหาของคุณมีคุณภาพนั้นจะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดความเชื่อมั่นในเว็บไซต์ของคุณ และอาจเปลี่ยนจากผู้ชมขาจรมาเป็นขาประจำได้นั่นเอง

เว็บไซต์ต้องมีความ Mobile Friendly 

ในโลกยุคปัจจุบัน ผู้คนใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตกันเป็นส่วนมาก ดังนั้นคุณก็ควรที่จะตั้งค่าเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานผ่านโทรศัพท์หรือแท็บแล็ตด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นถ้าหากผู้ใช้งานกดเข้าไปชมเว็บไซต์ของคุณผ่านโทรศัพท์แล้วการแสดงผลเป็นแบบหน้าเว็บไซต์เหมือนในคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานอาจจะกดออกในทันที และจะส่งผลให้ยอด Bounce Rate สูงขึ้นได้อีกเช่นกัน

สรุป

ถ้าหากคุณผู้อ่านลองสังเกตดี ๆ ก็จะพบว่า หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สามารถช่วยทำให้ยอด Bounce Rate เว็บไซต์ของคุณอยู่ในเกณฑ์มาตราฐานที่ควรจะเป็นนั้น ก็คือหลักการต่าง ๆ ที่เราคุ้นชินกับการทำ SEO ให้มีคุณภาพอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องใส่ใจก็คือการจัดระเบียบเว็บไซต์ของคุณให้ดีและรักษามาตราฐานในการทำ SEO และพัฒนาเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ทีนี้เว็บไซต์ของคุณก็จะติดแรงก์ได้อย่างแน่นอน!