10 วิธีทำ SEO ปี 2024 ให้ติดหน้าแรก ทำตามได้แบบ Step by Step

สำหรับคนทำธุรกิจออนไลน์ที่ใช้เว็บไซต์เป็นหน้าร้านขายสินค้า การทำให้ “เว็บไซต์ติดหน้าแรกใน Google” เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะเมื่อเว็บไซต์ของเราสามารถขึ้นอันดับสูง ๆ และไปอยู่ในหน้าแรกของ Google ได้ ก็จะทำให้ลูกค้าเจอธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น และเลือกเราก่อนคู่แข่งด้วย!

บทความนี้เราได้รวบรวม 10 ขั้นตอนวิธีการทำ SEO ด้วยตนเองฉบับอัปเดตปี 2024! ล่าสุดตามอัลกอริทึมของ Google มาฝากกัน ถ้าอยากรู้ว่าการทำ SEO ต้องทำในส่วนไหนบ้าง และต้องใช้ทริคไหนปรับปรุงเว็บไซต์ถึงจะทำให้ขึ้นหน้าแรกได้ คำตอบทั้งหมดอยู่ในบทความนี้แล้ว!

 

วิธีทำ SEO

ทำความรู้จัก SEO คืออะไร?

ก่อนจะไปรู้กันว่า SEO ทำอย่างไร มาปูพื้นฐานกันก่อนว่า SEO คืออะไร?

SEO หรือ Search Engine Optimisation คือกระบวนการที่จัดทำขึ้น เพื่อดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกในระบบ Search Engine โดยกระบวนการทุกอย่างจะเป็นแบบออร์แกนิก (Organic) กล่าวคือจะไม่มีการซื้อหรือจ่ายเงินโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์แสดงผลบน Google แต่อย่างใด เพียงแต่อาศัยการปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ทั้งการทำคอนเทนต์แบบ Onsite การทำ Outreach การเขียน Blog การทำ Keyword Research รวมไปถึงการทำ Backlink เพื่อให้เว็บไซต์ไต่อันดับจากหน้าท้าย ๆ ขึ้นมาสู่หน้าแรก เพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้มองเห็น กดคลิก จนนำไปสู่ยอดขายและกำไรในท้ายที่สุด

>> อ่านเพิ่มเติมว่า SEO คืออะไร

10 วิธีทํา SEO มีอะไรบ้าง อัปเดต 2024!

เราเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจในระยะเริ่มต้น ผู้ประกอบการหลายคนอาจไม่ได้มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการจ้างเอเจนซี SEO เพื่อดูแล ดังนั้น เราจึงเตรียมวิธีทำ SEO แบบ Step by Step มาฝากทุกคน ดังนี้!

1. กำหนดจุดประสงค์การทำ SEO

ก่อนเริ่มขั้นตอนทาง Technical คุณควรกำหนดจุดประสงค์ให้ชัดด้วยว่าต้องการให้เว็บฯ ติดหน้าแรกด้วยเหตุผลอะไร เช่น เพื่อให้คนเข้ามาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในหน้าเว็บไซต์ หรือเพื่อให้เกิดการคลิกสั่งซื้อสินค้า เป็นต้น

เพราะเมื่อเป้าหมายชัด การปรับปรุงประสิทธิภาพก็จะสำเร็จได้ง่ายกว่า อีกทั้งคุณยังจะได้รู้ถึงแนวทางการปรับแต่งว่าถูกต้องตามมาตรฐานของอัลกอริทึมของ Google มากที่สุดหรือไม่อีกด้วย

2. จัดทำ Keyword Research

Keyword Research คืออะไร

การทำ Keyword Research คือการสืบค้นว่ากลุ่มเป้าหมายของเราใช้คำหลัก (Keyword) อะไรในการค้นหา และคำเหล่านั้นมีปริมาณการค้นหา (Search Volume) เป็นจำนวนเท่าไร เพื่อจะได้นำมาวางแผนสร้างคอนเทนต์ที่ลูกค้าจะค้นเจอในหน้า Google ได้มากที่สุด

Keyword สำหรับการทำ SEO นั้น โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

  • Head Keyword หรือ Seed Keyword : คำกว้าง ๆ หรือคำโดดที่เกี่ยวข้องกับสินค้า บริการ หรือหัวข้อที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา
  • Niche Keyword : คำที่ยาวกว่า Head Keyword เล็กน้อย โดยจะมี Head Keyword เป็นองค์ประกอบหลักอยู่ และเพิ่มคำที่เฉพาะเจาะจงหรือบอกจุดประสงค์ในการค้นหาเพิ่มเติมเข้าไป
  • Long Tail Keyword  : วลีหรือประโยคยาว ๆ มีปริมาณการค้นหาต่ำ แต่ Conversion สูง แสดงรายละเอียดเฉพาะเจาะจงและสะท้อนสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้ดีที่สุด

โดยหลักการเลือก Keyword ทำ SEO ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ คำมีศักยภาพในการเอาชนะคู่แข่ง และสามารถทำให้เว็บฯ ติดอันดับได้จริง ๆ ตามระยะเวลาและงบประมาณที่มี อีกทั้งยังควรเลือกคำที่มี Search Volume และ Search Intent สมดุลกัน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บฯ ติดหน้า Google ได้ง่ายขึ้นด้วย

โดยการทำ Keyword Research นอกจากจะเพิ่มโอกาสการติดหน้าแรก ยังช่วยในการปรับปรุง SEO ด้านอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง On-Page SEO, การวางโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure), การใช้ Backlink เป็นต้น

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Keyword Research 

สำหรับโปรแกรมทำ Keyword Research ที่เราอยากแนะนำ จะมีอยู่หลายโปรแกรมด้วยกัน

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมทำ Keyword Research

3. ออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure)

Site Structure คือ โครงสร้างเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วยแต่ละหน้าลิงก์ของเว็บไซต์ เป็นการจัดระเบียบให้รู้ว่าเว็บฯ นั้น ๆ มีเนื้อหาหลักอะไรบ้าง โดยทั่วไปโครงสร้างเว็บฯ ที่ดีต้องชัดเจน ไม่ซับซ้อน จับคู่ Keyword กับหน้าเพจให้สอดคล้องกัน และไม่ควรมีมากเกิน 3-5 ชั้น

ถ้าออกแบบ Site Structure ได้ดีและเป็นระบบ ก็จะช่วยให้อัลกอริทึมของ Google เข้าใจและหาสิ่งต่าง ๆ ภายในเว็บฯ เจอได้เร็ว ผู้เข้าชมเว็บฯ ได้รับประสบการณ์ที่ดี รวมถึงทำให้อันดับ SEO ในหน้าค้นหาดีขึ้นด้วย

โดยโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure) แบ่งเป็น 5 รูปแบบ ตามการจัดรูปแบบของเนื้อหา

  • โครงสร้างแบบเส้นตรง (Linear Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ที่นำเสนอเนื้อหาตามลำดับ
  • โครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchical Structure) โครงสร้างเว็บไซต์คล้ายแผนผังต้นไม้ มีการจัดแบ่งหน้าต่าง ๆ เป็นหมวดหมู่ เริ่มจากหน้าแรกที่อยู่ด้านบนสุด ไล่หน้ารองหรือย่อยลงมาเรื่อย ๆ
  • โครงสร้างแบบอิสระ (Web Linked Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบไม่ตายตัว แค่มีหลักการว่าทุกหน้าเว็บฯ ต้องเชื่อมโยงถึงกัน
  • โครงสร้างเว็บไซต์แบบฐานข้อมูล (Database Structure) โครงสร้างเว็บไซต์ตรงข้ามกับรูปแบบแผนผังต้นไม้ เพียงแต่เรียงจากล่างขึ้นบน

โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) โครงสร้างเว็บไซต์รูปแบบผสมระหว่างโครงสร้างแบบต้นไม้ (Hierarchy Structure) กับโครงสร้างรูปแบบอื่น ๆ เข้าด้วยกัน
>> อ่านรายละเอียด Site Structure เพิ่มเติม

4. ปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

On-Page SEO คือการปรับแต่ง แก้ไข และจัดการเว็บไซต์เพื่อให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด รวมถึงเพื่อช่วยให้บอตของ Google ทำความเข้าใจเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของเราได้ดีขึ้นด้วย โดยหลัก ๆ ที่เราอยากแนะนำ ก็คือการปรับแต่ง URL และบทความในเว็บไซต์

ปรับแต่ง URL

  • ตั้งชื่อ URL ด้วยคีย์เวิร์ด : ช่วยให้เว็บไซต์ถูกค้นพบได้ง่ายขึ้น และเพื่อให้ Google Bot มองว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและเป็นมิตรกับผู้ใช้
  • ตั้งชื่อ URL สั้น กระชับ เข้าใจง่าย : เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังเข้าชมเว็บฯ ของใคร/สินค้าอะไร เป็นการเพิ่ม Traffic ที่ทำให้อันดับ SEO ดีขึ้นอีกทางหนึ่ง
  • ตั้งชื่อ URL โดยระบุคำที่เป็นข้อมูลของสินค้าหรือบริการ : เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น และสะดวกต่อ Google Bot ในการเข้ามาเก็บข้อมูล

ปรับแต่งบทความในเว็บไซต์

  • ใส่คีย์เวิร์ดใน Title Tag และวางคีย์เวิร์ดไว้ในคำแรก ๆ ของชื่อเรื่อง
  • ใส่คีย์เวิร์ดในช่วง 1–150 คำแรกของคอนเทนต์
  • ใส่คีย์เวิร์ดใน H1, H2 หรือ H3
  • ใส่ Alt tags สำหรับรูปภาพและไฟล์ เพื่อช่วยให้กูเกิลเข้าใจได้ว่ารูปภาพหรือไฟล์นั้นคืออะไร
  • ใส่คำพ้องหรือคำที่ใกล้เคียง (Synonyms) กับคีย์เวิร์ดลงไปด้วย
  • ใส่ External Links (ลิงก์จากเว็บฯ ข้างนอก) เข้าไปในบทความ เนื่องจากจะช่วยสร้างการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือให้กับบทความมากขึ้น
  • ใส่ Internal Links (ลิงก์ภายในเว็บไซต์) เพื่อให้ผู้อ่านสามารถกดลิงก์ไปดูบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ Keyword ซ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อไม่ให้เป็น Spam และไม่เป็นธรรมชาติกับผู้อ่าน

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO On-Page

5. สร้างเนื้อหาคุณภาพตอบโจทย์ผู้ใช้!

ผู้ใช้เซิร์ช Google ก็เพื่ออ่านเนื้อหาที่ต้องการ ดังนั้น เนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราจึงควรต้องให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยของพวกเขาได้ นักทำ SEO จึงควรผลิตแต่ Useful Content หรือเนื้อหาที่เน้นประโยชน์กับคนอ่านเป็นหลัก อีกทั้งยังควรทำให้เนื้อหาแต่ละหน้าเพจมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน โดยยึดหลัก E-E-A-T Factor หรือกฎเกณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ Google ทำการอัปเดตจาก E-A-T Factor เดิม อันเป็นเกณฑ์ที่อัลกอริทึมจะใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ อันประกอบไปด้วย

  • Experience (ประสบการณ์) – เนื้อหาที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน
  • Expertise (ความเชี่ยวชาญ) – เนื้อหาเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีข้อมูลเชิงลึก
  • Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) – เว็บไซต์ได้รับการอ้างอิงจากเว็บฯ ต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือ (Backlink)
  • Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) – เว็บไซต์มีช่องทางการติดต่อ ความสดใหม่ ที่น่าเชื่อถือจากตัวเว็บไซต์เอง

สิ่งสำคัญคือ เนื้อหาในเว็บฯ ควรตรงตามความต้องการของผู้ใช้หรือที่เรียกว่า Search Intent อีกทั้งยังจะต้องเป็นเนื้อหาที่เขียนและเรียบเรียงด้วยตนเอง ไม่ได้คัดลอกมาจากแหล่งอื่น นอกจากนี้ ยังควรแบ่งเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านของผู้ใช้ด้วย

6. ทำ Backlink จากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ

เนื่องจาก Authoritativeness เป็นเกณฑ์หนึ่งที่ Google ใช้พิจารณาการจัดอันดับเว็บฯ สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลที่การทำ Backlink เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการไต่อันดับเช่นกัน

Backlink คือ การที่เว็บไซต์อื่นลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์ของเรา ซึ่ง Google จะใช้การทำ Backlink เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าเว็บไซต์ของเรามีคนพูดถึงและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะหากมีคนพูดถึงเรามาก ก็หมายความว่าเว็บไซต์ของเรามีคอนเทนต์ที่ดีและตอบโจทย์ตามความต้องการของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ ทำให้มีโอกาสติดอันดับ SEO ได้ง่ายขึ้น

การทำ Backlink ที่ดีควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • ควรทำกับเว็บไซต์มี Authority สูง หมายถึง มีความน่าเชื่อถือ มีผู้อ่านเยอะ ได้รับการอ้างอิงถึงบ่อย อาจดูจากเครื่องมือต่าง ๆ  เช่น Moz
  • ควรทำกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น หากเป็นเอเจนซีรับทำ SEO การทำ Backlink ก็ควรมาจากเว็บฯ การตลาด
  • ควรทำกับเว็บไซต์มีผู้ใช้งานจริง ถูกคลิกเข้ามาใช้งานเรื่อย ๆ
  • ควรทำเป็น Do Follow ซึ่งสามารถส่งคะแนน SEO มายังเว็บไซต์ของเราได้
  • ควรเขียนเนื้อหาบทความในการทำ Backlink ให้น่าสนใจ เพื่อให้ Traffic กลับมายังเว็บไซต์มีปริมาณเยอะขึ้น
  • ควรทำ Backlink อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นธรรมชาติ ไม่ควรทำจำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันการโดน Google แบน

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีการทำ Backlink

7. ปรับ User Experience

UX ย่อมาจาก User Experience คือ ประสบการณ์ของผู้ใช้งานต่อการใช้งาน (Usability) และการเข้าถึง (Accessibility) เว็บไซต์ ๆ ว่าผู้ใช้งานเกิดความพึงพอใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน โดย User Experience จะมีผลมาจาก UI หรือ User Interface

การวัด UX หลัก ๆ ก็จะวัดได้จาก :

  • Bounce Rate คือค่าที่บอกว่ามีคนที่เข้าเว็บไซต์แล้วออกทันทีทั้งหมดกี่เปอร์เซ็นต์ หาก Bounce Rate ยิ่งต่ำคือยิ่งดี ทว่าก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหานั้น ๆ ด้วย เช่น หน้า Blog Post อาจมีค่า Bounce Rate ที่สูงกว่าหน้า Services หรือหน้า Products เป็นต้น
  • Page per Session คือ จำนวนหน้าที่ผู้ใช้งานเข้าไปชมต่อการเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราหนึ่งครั้ง โดยปกติแล้ว ยิ่งจำนวนมากจะยิ่งดี แต่ก็ต้องระมัดระวังในการทำ CTA ที่ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งอาจส่งผลให้ Google Bot เข้าใจว่าเราดึงดูดคนให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของเราผิดหน้าได้
  • Dwell Time (Session Duration, Time on Page) คือ ค่าที่บอกถึงเวลาที่ผู้ใช้งานใช้ไปในแต่ละหน้า (Time on Page) หรือแต่ละครั้ง (Session Duration) ซึ่งหากยิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะนั่นหมายความว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์เรามีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
  • Page Speed คือ ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ หากโหลดได้เร็วก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ใช้งานจะเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้เร็ว ดังนั้น ยิ่งเวลาในส่วนนี้ใช้น้อยเท่าไรก็จะถือว่าเว็บไซต์มี UX ที่ดี

โดยการจะทำให้ค่าเหล่านี้ดี สามารถทำได้จากการปรับแต่ง UX ในเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่ายแบบไหลลื่น ไม่มีสะดุด อันได้แก่

  • ออกแบบเว็บฯ ให้สวยงาม น่าใช้ และน่าเชื่อถือ
  • ออกแบบเมนูบนเว็บไซต์ให้เป็นระบบ เพื่อให้ผู้ใช้หาง่าย เพิ่มโอกาสการท่องเว็บฯ เป็นระยะเวลานาน
  • ใช้ชื่อเมนูเป็นสากล เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเมนูได้ง่าย หากใช้คำที่เฉพาะตัวและยากจนเกินไปก็มีโอกาสที่เว็บไซต์จะไม่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งาน
  • เลือก Hosting ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เว็บฯ เสถียร ไม่ล่มง่าย
  • ใช้ระบบ Cache ย่อขนาดไฟล์รูปภาพและวิดีโอ เพื่อเพิ่มความเร็วดาวน์โหลดเว็บไซต์
  • ออกแบบเว็บฯ ให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (ปัจจุบันคนเข้าชมจากมือถือกว่า 80%) ทั้งการแสดงผลของหน้าจอ ระยะห่างระหว่างปุ่ม รวมถึงขนาดตัวอักษร
  • ออกแบบ User Signal เพื่อให้ผู้ใช้งานอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
  • จัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเลย์เอาต์ ฟอนต์ หรือลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ที่ดีจากการเข้าชมเว็บไซต์ของเรามากที่สุด
  • มี Call-to-Action ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้รู้ว่าควรกดไปที่ใดต่อ
  • หลีกเลี่ยงการใช้โฆษณา Pop-up ที่เด้งแล้วรบกวนการใช้งานของผู้ใช้

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำ UX

8. ปรับแต่ง Technical SEO

Technical SEO คือ การปรับแต่ง SEO ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่บอตของ Google ให้รวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีหน้าเพจทั้งหมดบนเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

Technical SEO ปรับแต่งได้ตั้งแต่

  • เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed)
  • ทำ Lazy Load ให้รูปภาพค่อย ๆ แสดงผลในส่วนที่ผู้ใช้เลื่อนเมาส์ไปดู
  • ปรับแต่งให้ URL เป็นมิตรกับผู้ใช้และ Google
  • ทำเว็บไซต์ให้เป็น http:// หรือ SSL Certificate
  • ทำ Robots.txt ให้ Google Bot เข้ามา Crawl เก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  • ทำ Canonical URL สำหรับเพจที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน
  • แก้ไขหน้าเพจ Error ที่ขึ้น 404 Not Found
  • จัดทำ Redirect 301
  • จัดทำ HTTPS เพื่อให้เว็บไซต์มีความปลอดภัย

ฯลฯ

9.  ทำ SEO บน Facebook

การทำ SEO Facebook หมายถึงการทำหน้าแฟนเพจ Facebook ให้ติดอันดับในหน้าค้นหา โดย Google จะแบ่งพื้นที่การติดอันดับให้ Facebook เพียง 3 อันดับต่อการติดหน้าแรก 1 หน้าเท่านั้น ดังนั้น หากคุณสามารถปั้นให้ทั้งเว็บไซต์และ Facebook ติดอันดับได้ ก็จะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจถูกลูกค้ามองเห็นเพิ่มขึ้นด้วย

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีทำ SEO Facebook

10. อัปเดตเทรนด์ SEO ให้ทันอัลกอริทีมของ Google

อัลกอริทึม Google เปลี่ยนแปลงไปทุกปี ดังนั้น ผู้ที่จะชนะในสนาม SEO นี้ก็คือคนที่พร้อมจะอัปเดตให้ทันกับทุกการเปลี่ยนแปลง โดยในปี 2024 นี้เทรนด์ SEO ที่ควรอัปเดตก็มีมากมาย เช่น

เครื่องมือ SEO อัปเดตฟีเจอร์ใหม่

ปี 2024 เครื่องมือ SEO ต่างก็อัปเดตฟีเจอร์ใหม่เพื่อให้ตอบโจทย์โลกยุค AI มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Ahrefs ที่ออกฟีเจอร์ AI-Driven Content Optimization AI ช่วยแนะนำการปรับปรุงคอนเทนต์  Competitor AI Analysis ที่ให้ AI วิเคราะห์เว็บฯ คู่แข่ง รวมถึงทำ Content Gap วิเคราะห์คีย์เวิร์ดคู่แข่งด้วย

นอกจากนี้ Generative AI ต่างก็ประชันกันอัปเดตเวอร์ชันและฟีเจอร์ ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT หรือ Bard จาก Google เอง ซึ่งนักทำ SEO ก็สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ปรับปรุงการทำ SEO ให้ดีขึ้นได้

การเปิดตัวของ Google’s SGE (Search Generative Experience)

Google’s SGE คือฟีเจอร์ใหม่จาก Google ที่ผสมระหว่างการ Search กับ Generative AI เพื่อช่วยตอบคำถามผู้ใช้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องกดเข้าไปดูลิงก์รายการค้นหาเหมือนการ Search ทั่วไป

ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา ประสิทธิภาพเว็บไซต์ และความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้ใช้ แม้เว็บฯ ของเราจะแสดงถัดจากการแสดงผลของ Google’s SGE

>> อ่านฟีเจอร์ Google’s SGE เพิ่มเติมได้ที่บทความนี้

เน้นเนื้อหา People-first ไม่ใช่ Search Engine First

ปี 2024 Google จะเน้นให้คอนเทนต์ที่ดีและมีประโยชน์กับผู้อ่านถูกมองเห็นมากขึ้นบนเว็บไซต์ ดังนั้น นักทำ SEO จึงควรผลิตคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเน้นการมองเห็นแบบ People-first ไม่ใช่ Search Engine First และลบเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพออกจากเว็บฯ ไป ก็จะทำให้อัลกอริทึมทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น

 

ทำ SEO ยากไหม?

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การทำ SEO นั้นเป็นเรื่องเฉพาะทางต้องอาศัยเครื่องมือราคาแพง ซึ่งความเข้าใจนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการทำ SEO จะต้องอาศัยองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เราได้บอกไปตั้งแต่ต้นบทความ ซึ่งเรื่องเหล่านี้คุณสามารถศึกษาด้วยตัวเองและเข้าใจได้ไม่ยาก

แต่ปัจจัยสำคัญว่าทำ SEO ยากหรือไม่นั้นแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่คุณทำธุรกิจอยู่ว่ามีการแข่งขันกันสูงหรือไม่ ยิ่งถ้ามีการแข่งขันทางธุรกิจสูงแน่นอนว่าก็จะมีการแย่งชิงตำแหน่งหน้าแรกของ Google สูงขึ้นตามไปด้วย เพราะทุก ๆ ธุรกิจในปัจจุบันล้วนอยู่บนโลกออนไลน์เหมือนกัน

ดังนั้นก่อนจะเริ่มทำ SEO ด้วยตัวเองคุณควรจะศึกษาคู่แข่งว่าเขาทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงอยู่ในหน้าแรก Google ได้ แล้วเราก็นำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของเรา ทั้งเนื้อหาคอนเทนต์บนหน้าเว็บไซต์ ต้องเน้นตอบโจทย์อ่านง่าย เว็บไซต์ใช้งานง่าย ดึงให้คนอยู่บนเว็บไซต์ของเราให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่ได้บอกให้คุณลอกสิ่งที่คู่แข่งของคุณทำอยู่ แต่ให้ศึกษาและนำมาพลิกแพลงปรับใช้

 

SEO ใช้เวลานานไหม?

การทำ SEO ให้ขึ้นตำแหน่งแรก (อันเป็นตำแหน่งดีที่สุดที่ทุกธุรกิจต่างแย่งชิง) จะต้องอาศัยระยะเวลาจัดระเบียบเว็บไซต์พร้อมกับปรับปรุงคอนเทนต์ ประมาณ 4-6 เดือน เพื่อให้ Google เห็นว่าเว็บฯ ของเรามีศักยภาพในการดึงดูดผู้เข้าชมและสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีมากกว่าเว็บฯ อื่น

 

SEO สำคัญอย่างไร? มีประโยชน์อย่างไร

SEO สำคัญสำหรับธุรกิจออนไลน์ เพราะหากทำให้เว็บฯ ติดอันดับในหน้า Google และมีจำนวนคนเข้าเว็บฯ (Traffic) สูงขึ้นได้ โอกาสปิดการขายและทำกำไรก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

โดยทั่วไป เว็บฯ ที่ติดอันดับ 1 ในหน้า Google จะมี Traffic ของคนคลิกเข้าเว็บฯ จำนวนมากกว่าเว็บฯ ที่อยู่อันดับ 10 ถึง 10 เท่า!! อีกทั้งการเข้าชมเว็บไซต์มักจะเริ่มมาจากการที่ลูกค้าค้นหาสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม Search Engine ต่าง ๆ (ไม่ค่อยมีใครเข้าเว็บไซต์โดยตรง) ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการทำ SEO ให้เว็บฯ ติดอันดับจึงเป็นสิ่งสำคัญ

อีกทั้งการทำ SEO นั้นยังฟรีและเมื่อทำจนเว็บไซต์ติดหน้าแรกได้แล้ว ก็ยังจะช่วยลดต้นทุนการซื้อโฆษณาได้ด้วย เพราะปกติถ้าเว็บไซต์ยังไม่ขึ้นหน้าแรก คุณสามารถทำให้เว็บไซต์แสดงอยู่บนหน้าแรกได้เร็วที่สุดคือการซื้อโฆษณา Search Ads กับ Google แต่ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเช่นกัน

 

ทำ SEO กับที่ไหนดี?

จากขั้นตอนการทำ SEO ทั้งหมด จะเห็นได้เลยว่าการที่เว็บฯ จะขึ้นหน้าแรกได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่างที่หลายคนคิด แต่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และการวางแผนกลยุทธ์เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ดี หากคุณต้องการทำ SEO แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร Primal Digital Agency ของเรายินดีให้คำปรึกษา เราคือเอเจนซีรับทำ SEO ชั้นนำที่มีประสบการณ์ทำ SEO กว่า 8 ปี พร้อมการันตีคุณภาพจากมากกว่า 20+ รางวัล พิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยตัวคุณเองเพียงกรอกรายละเอียดเพื่อปรึกษาเราตอนนี้!