แนะนำ 10 Google Chrome Extensions สำหรับ SEO

แน่นอนว่าโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคงหนีไม่พ้น Google Chrome เพราะนอกจากจะมีความปลอดภัยสูงแล้ว ยังมีโปรแกรมเสริมมากมายที่จะช่วยให้การทำเว็บไซต์ของคุณง่ายขึ้น และที่สำคัญ ยังมีฟังก์ชันที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO (Search Engine Optimisation) ได้อีกด้วย ! และฟังก์ชันนั้นก็คือ “Google Chrome Extensions” หรือส่วนขยายของ Chrome นั่นเอง 

นักการตลาดใช้ Google Chrome Extensions สำหรับการทำ SEO

Google Chrome Extensions คือ เครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ของนักการตลาดง่ายขึ้น

รวม 10 Google Chrome Extensions สำหรับ SEO ที่น่าสนใจ

1. Mozbar

MozBar เป็นเครื่องมือที่เอาไว้เช็กโครงสร้าง On page SEO ส่วนบน (Header) ของเว็บไซต์ เปรียบเหมือนเช็กลิสต์ที่ช่วยตรวจเช็กการเขียน Title, Meta Description ตลอดจน H1 โดยเครื่องมือนี้จะทำให้คุณเห็นการเขียน Page Title กับ Meta Description ของเว็บไซต์อื่น ๆ ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้คุณวางโครงสร้างการเขียนของตนเองได้ดียิ่งขึ้น โดยมีคุณสมบัติดังนี้

  • สามารถสร้างการค้นหาแบบกำหนดเองตามอุปกรณ์ที่ใช้ใน ประเทศ ภูมิภาค หรือเมือง
  • สามารถประเมิน Page Authority และ Domain Authority ของเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว
  • สามารถเข้าถึงและเปรียบเทียบ Metric Link ในหน้าต่าง ๆ ขณะดู SERP ใด ๆ ได้
  • สามารถแยกความแตกต่างของ Backlink ประเภท Follow, NoFollow, Internal หรือ External ได้
  • สามารถแสดงองค์ประกอบของหน้าเว็บฯ คุณสมบัติทั่วไป มาร์กอัป รวมถึงสถานะ HTTP
  • สามารถส่งออกรายละเอียดการวิเคราะห์หน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ไปยังไฟล์ CSV ได้

Link: Mozbar

2. BuzzSumo

BuzzSumo เป็นส่วนขยายของ Chrome ที่สามารถหาคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมักค้นหาบ่อย ๆ เพื่อที่จะได้นำมาปรับมาใช้กับคอนเทนต์ของคุณได้ พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับคู่แข่งว่าอะไรที่ทำให้คอนเทนต์ของเขาประสบความสำเร็จ และช่วยดูช่องทางที่จะทำให้คอนเทนต์ของคุณประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

นอกจากนี้ BuzzSumo ยังทำให้คุณรู้ผลลัพธ์การมีส่วนร่วม (Engagemant) ของเว็บไซต์บนโซเชียลมีเดียอีกด้วย ดังนี้

  • สามารถดูได้ว่าใครแชร์เพจหรือเว็บไซต์ของเราลงบนโซเชียลมีเดีย
  • สามารถดูจำนวน Backlink ได้
  • สามารถดูได้ว่าคอนเทนต์ใดที่มีคนแชร์มากที่สุด เพื่อให้เราวิเคราะห์ความมีประสิทธิภาพของแต่ละคอนเทนต์

Link: BuzzSumo

3. Mangools SEO Extension

อีกหนึ่งเครื่องมือ SEO Tools ที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของเว็บไซต์หรือธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด และต้องการหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการทำ SEO โดย Mangools จะแสดงตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่สำคัญ รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึกของเว็บไซต์ได้ ประกอบไปด้วยฟีเจอร์หลัก ๆ ดังนี้

  • KWFinder เครื่องมือในการทำ Keyword Research เพื่อดูว่าเว็บไซต์คู่แข่งมีคีย์เวิร์ดอะไรบ้าง ซึ่งเครื่องมือตัวนี้ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่แม่นยำที่สุดในบรรดาเครื่องมือการตลาด
  • SERPChecker ฟีเจอร์นี้จะช่วยตรวจสอบได้ว่าคู่แข่งของคุณที่ได้อันดับ (Rank) ดี ๆ ในคีย์เวิร์ดที่คุณใส่ลงไปนั้น มีสถิติอะไรเท่าไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น Domain Authority, Backlink และอื่น ๆ อีกมากมาย
  • LinkMiner ฟีเจอร์ที่ช่วยค้นหา Backlink ของเว็บไซต์คุณว่ามีจำนวนเท่าไร และมีอะไรบ้าง
  • SiteProfiler ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบเว็บไซต์ของตนเองและเว็บไซต์คู่แข่งอย่างละเอียด เพื่อให้ทราบถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละเว็บไซต์ และนำมาพัฒนาเว็บไซต์ของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

Link: Mangools SEO Extension

4. NinjaOutreach

Chrome Extensions สำหรับ SEO อีกอันหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เพราะเป็นซอฟต์แวร์สำหรับการทำ Outreach Marketing โดยเฉพาะ โดย Ninja Outreach จะช่วยให้คุณตามหาอินฟลูเอนเซอร์ในแบบที่ต้องการได้บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Instagram, Twitter, YouTube, TikTok ฯลฯ และยังมีระบบที่ช่วยบริหารความสัมพันธ์หรือ CRM กับอินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นอีกด้วย ซึ่งมีคุณสมบัติโดยรวมดังนี้

  • ช่วยหาอินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดีย โดยเลือกได้ว่าจะหาจากแพลตฟอร์มอะไร ไม่ว่าจะเป็น Instagram, TikTok, Facebook ฯลฯ อีกทั้งยังสามารถระบุ Profile Type ได้ว่าต้องการอินฟลูเอนเซอร์เพศไหน เชื้อชาติใด Engagement Rate หรือยอดผู้ติดตามเท่าไร ตลอดจนสามารถเลือกประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ตามความถนัดและความสนใจได้
  • Contact Relationship Management เนื่องจากบางธุรกิจต้องการหาอินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก NinjaOutreach จะช่วยให้เราสามารถจัดเก็บรายชื่อผู้ติดต่อเอาไว้ได้อย่างเป็นระบบ และจัดระเบียบหมวดหมู่ของอินฟลูเอนเซอร์ได้เองตามความเหมาะสม โดยเราสามารถดึงรายชื่อออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
  • มีเมนู “Template” เพื่อใช้เขียนคอนเทนต์หรือรายละเอียดเกี่ยวกับงานที่ต้องการให้อินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ ทำ เช่น ต้องการให้มาลองใช้ผลิตภัณฑ์ โดยสามารถสร้างเทมเพลตได้หลายประเภท แล้วยังสามารถส่งข้อความหาอินฟลูเอนเซอร์ได้แบบอัตโนมัติอีกด้วย
  • Email Drip Campaign สามารถวางแผนติดต่ออินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างมีกลยุทธ์ ตั้งเวลาในการส่งอีเมลได้ พร้อมทั้งมีตัวเลขรายงานอัตราการเปิดอีเมล อัตราการตอบกลับ แล้วยังตรวจเช็กได้อีกด้วยว่ามีอีเมลตกหล่นหรือไม่
  • Inbox อินฟลูเอนเซอร์คนไหนเคยเปิดอ่านอีเมลหรือตอบกลับมา ก็จะปรากฎในหน้า Inbox ของอีเมล

Link: NinjaOutreach

5. Ahrefs

Afrefs เป็น Chrome Extensions สำหรับ SEO ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพแบบ All-in-one โดยสามารถแบ่งฟีเจอร์ออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้

  • Site Audit ฟีเจอร์นี้จะช่วยตรวจสอบเว็บไซต์ในด้านต่าง ๆ เพื่อดูว่าการทำ SEO ของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากพอแล้วหรือยัง โดยเราจะทราบข้อมูลว่าส่วนไหนของเว็บไซต์ที่ทำให้คุณยังไม่สามารถ Rank ได้อย่างที่ควรจะเป็น เช่น ขาด H1 หรือหน้าเว็บฯ ขาด UX/UI ที่ดีหรือไม่ 
  • Site Explorer เครื่องมือนี้ช่วยเจาะลึกข้อมูลต่าง ๆ ของโดเมนใดโดเมนหนึ่ง โดยจะเป็นเว็บไซต์ของคู่แข่งหรือเว็บฯ คุณเองก็ได้ ประกอบไปด้วย Organic Traffic Research ดูว่า Organic Traffic ส่วนมากมาจากที่ไหนบ้าง, Backlink Checker ตรวจสอบว่าโดเมนนั้น ๆ มี Backlink เท่าไรและมีอะไรบ้าง และ Paid Traffic Research ตรวจสอบว่าเว็บไซต์คู่แข่งใช้โฆษณาแบบ PPC หรือไม่ รวมถึงส่ง Traffic ไปที่ Landing Page อย่างไร
  • Keyword Explorer เป็นฟีเจอร์ที่เด่นมากของ Afrefs คือการช่วยหาคีย์เวิร์ดอย่างละเอียด และให้ข้อมูลที่สำคัญ เช่น Volume, Clicks, CPC, Difficulty ตลอดจน Keyword Ideas อีกนับพันคำ ทั้งในรูปแบบของ Questions และ Phrase Match
  • Rank Tracker ไม่ว่าคนทำเว็บไซต์คนไหนต่างก็ต้องการจะรู้ว่าในแต่ละวัน Ranking ของเว็บฯ คุณในหน้าการค้นหาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยติดตาม Ranking เว็บไซต์ได้โดยละเอียด
  • Content Explorer เครื่องมือ SEO ที่จะช่วยคุณหาคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงใน Niche ของตนเอง เพื่อที่จะได้สร้างคอนเทนต์ในส่วนดังกล่าวได้

Link: Ahrefs

นักการตลาดดู SEO Performance บน Chrome Extensions

ข้อมูลที่แสดงบน Google Chrome Extensions จะช่วยให้คุณรับทราบถึงข้อมูลด้านต่าง ๆ ของเว็บไซต์

6. SimilarWeb

Similar Web เป็นส่วนขยายที่ช่วยตรวจสอบการเข้าชมเว็บไซต์ โดยเราสามารถดูตัวชี้วัดที่สำคัญได้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการมีส่วนร่วมในหน้าเว็บฯ การจัดอันดับการเข้าชม การจัดอันดับคีย์เวิร์ด ตลอดจนแหล่งที่มาของจำนวนผู้เข้าชม ประกอบไปด้วย 4 ฟีเจอร์หลัก ดังนี้

  • Website Performance สามารถดูข้อมูลเว็บไซต์อื่น ๆ ได้ โดยจะเห็นข้อมูลการเข้าถึงเว็บไซต์ย้อนหลัง 3 เดือน ไม่ว่าจะเป็น Channel, Geography, Search Traffic และที่สำคัญ ยังสามารถดูคู่แข่งของเว็บไซต์อื่นได้อีกด้วย
  • Search Traffic ในส่วนนี้ คุณสามารถดูข้อมูล Search Traffic บนเว็บไซต์ได้ทั้งแบบ Organic และแบบ Paid เพื่อให้รู้ว่าเว็บไซต์อื่นมีกลยุทธ์อย่างไร และสามารถวางแผนในการแข่งขันกับธุรกิจอื่น ๆ ได้
  • Keyword Analysis คุณสามารถทำ Keyword Research บน SimilarWeb ได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
  • Web Category Analysis ฟีเจอร์นี้เป็นตัวช่วยวิเคราะห์ธุรกิจแต่ละอุตสาหกรรมว่ามี Performance เป็นอย่างไร โดยจะให้ข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น เว็บไซต์ใดมีผู้เข้าชมมากที่สุด จำนวนการเข้าชมเท่าไร เข้าชมผ่านอุปกรณ์อะไร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการนำมาวางแผนและประยุกต์ใช้กับการทำ Online Marketing ของธุรกิจตนเองได้ เป็นฟีเจอร์เหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจเอเจนซี เพราะจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจภาพรวมของอุตสาหกรรมและคู่แข่งเป็นอย่างดี

Link: SimilarWeb

7. SEMRush

ถ้าจะให้พูดถึงเครื่องมือ SEO ที่พลาดไม่ได้มากที่สุดก็คงจะไม่พ้น SEMRush ซึ่งเป็นส่วนขยายของ Chrome ที่มีฟีเจอร์เยอะแยะมากมายและเต็มไปด้วยคุณภาพที่อยู่ในระดับต้น ๆ ของการทำ SEO แต่ด้วยความที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ก็เป็นธรรมดาที่จะมีราคาค่าใช้งานที่สูงตามไปด้วยเช่นกัน เพราะการที่เราจะใช้งาน SEMRush ได้นั้น แปลว่าเราจะต้องลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่พอสมควร แต่ต้องบอกว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะคุ้มค่า คุ้มราคาแน่นอน โดยฟีเจอร์ของ SEMRush มีดังนี้

  • Domain Analytics ฟีเจอร์นี้เรียกได้ว่าเป็นฟีเจอร์หลักของ SEMRush เลยก็ว่าได้ เพราะเราจะสามารถทำ Research ในส่วนของโดเมน ทั้งในเว็บไซต์เราเองและเว็บไซต์อื่น ๆ ว่ามี Authority เท่าไร มี Backlink เท่าไร และมีอะไรบ้าง รวมไปถึงแนวโน้มของ Traffic ว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ปรับแก้ให้การทำ SEO ของตนเองเห็นผลมากยิ่งขึ้น
  • Keyword Research เป็นฟีเจอร์ที่คล้าย ๆ กับส่วนขยายอันอื่น ๆ แต่สำหรับ SEMRush นั้น ถือเป็น Keyword Explorer ที่ยอดเยี่ยมเป็นอันดับแรก ๆ ที่คนนึกถึง เพราะข้อมูลที่ได้จะละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็น CPC, Trend, Monthly Volume ฯลฯ และอื่น ๆ อีกมากมายจากทุกซอกทุกมุมของเว็บฯ
  • Rank Tracking ในส่วนนี้มีไว้เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง Ranking ของเว็บฯ และทาง SEMRush จะมีแจ้งเตือนด้วยถ้าหากว่าเว็บไซต์คุณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
  • Site Audit ฟีเจอร์นี้ช่วยตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีข้อผิดพลาด (Error) ตรงส่วนไหนหรือไม่ เช่น Broken Links (404 Error) เพื่อที่เราจะได้แก้ไขให้ทันท่วงที และทำให้มี UX หรือ User Experience ที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยในการทำ SEO เป็นอย่างมาก
  • On Page SEO Checker สามารถดูได้ว่าคอนเทนต์หรือบทความที่เขียนนั้นดีพอแล้วหรือยัง หรือมีตรงไหนที่ควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มโอกาสในการ Ranking ให้มากขึ้น
  • Backlink Analytics ช่วยตรวจสอบและรายงานข้อมูลของ Backlink โดยละเอียด ซึ่งจะช่วยในการทำ Off-page SEO
  • PCP Advertising Toolkit ช่วยอำนวยความสะดวกในการโฆษณาผ่าน Google Ads ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจตลาด (Market Research), Keyword Gap หรือแม้กระทั่งเครื่องมือที่ใช้หาคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์อื่นใช้งานอยู่
  • Content Marketing Platform ฟีเจอร์นี้เป็นเครื่องมือพิเศษที่ช่วยในการสร้างคอนเทนต์ดี ๆ บนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย โดย SEMRush จะช่วยหาหัวข้อที่น่าสนใจมาเขียนเป็นบทความ และเตรียมข้อมูลต่าง ๆ มาให้เรียบร้อยเพื่อประสิทธิภาพในการทำ SEO Writing และยังสามารถเช็กในส่วนของการคัดลอกผลงาน (Plagiarism) ได้อัตโนมัติอีกด้วย
  • Competitive Intelligence ฟีเจอร์ระดับพรีเมียมที่ช่วยสำรวจตลาดคู่แข่งอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยข้อมูลทุกอย่างจะถูกส่งตรงมาให้อ่านอย่างสะดวกสบายผ่านทางแพลตฟอร์มของ SEMRush

Link: SEMRush

8. ObservePoint Debugger

ObservePoint คือ อีกหนึ่งส่วนขยายของ Chrome ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนัก SEO และนักการตลาดดิจิทัลที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของแท็ก การวัดผล และการติดตามข้อมูลบนเว็บไซต์อย่างละเอียด หากถามว่า ObservePoint มีประโยชน์อย่างไรนั้น ก็ต้องตอบว่าหลายด้านทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น

  • Tag Verification ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของแท็กวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่น Google Analytics, Google Tag Manager, Facebook Pixel หรือแท็กอื่น ๆ ที่ใช้ในการติดตามและวัดผลการทำงานของเว็บไซต์ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าการเก็บข้อมูลนั้นมีความแม่นยำและครบถ้วนตามต้องการ
  • Data Layer Inspection เครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบ Data Layer ได้อย่างละเอียด โดยสามารถเห็นข้อมูลที่ถูกส่งผ่าน Data Layer ในแต่ละหน้าเว็บฯ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการวิเคราะห์และการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้
  • Performance Monitoring ช่วยวัดประสิทธิภาพของแท็กต่าง ๆ ว่ามีผลกระทบต่อความเร็วของเว็บไซต์หรือไม่ โดยจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาโหลดของแต่ละแท็ก ซึ่งช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้
  • Cross-Browser Compatibility สามารถทำงานข้ามเบราว์เซอร์ได้ ช่วยให้คุณตรวจสอบการทำงานของแท็กบน Chrome, Firefox, Safari หรือเบราว์เซอร์อื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการติดตามและวัดผลมีความสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์ม

Link: ObservePoint Debugger

9. SEO Spider Tools

เครื่องมือ SEO ที่ช่วยในการวิเคราะห์โครงสร้างเว็บไซต์และการทำ SEO อย่างครอบคลุม นักการตลาดคนไหนที่อยากให้เว็บไซต์ติดแรงก์อย่างยั่งยืน หรือหากประสบปัญหาทำธุรกิจมานานแล้ว และอัลกอริทึมไม่ยอมเอาเว็บไซต์ไปจัดอันดับเสียที นี่คือเครื่องมือที่จะช่วยระบุได้ว่าเว็บไซต์ของคุณติดขัดที่ตรงไหน และควรปรับปรุงส่วนใด ด้วยฟีเจอร์หลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  • Website Crawling สามารถตรวจสอบเบราว์เซอร์เว็บไซต์ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว โดยจะดึงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เช่น URLs, Title Tags, Meta Descriptions, Headings, Images และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ SEO มาแสดงเพื่อวิเคราะห์
  • Technical SEO Analysis ช่วยตรวจสอบปัญหาทางเทคนิคที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ เช่น Broken Links, Redirects, Duplicate Content, Missing Alt Text และปัญหา SEO อื่น ๆ
  • URL Parameter Analysis วิเคราะห์และจัดการกับพารามิเตอร์ URL ที่ซับซ้อน ให้คุณเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์และสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจทำให้เกิดเนื้อหาซ้ำซ้อนได้
  • Site Visualization สร้างแผนผังเว็บไซต์แบบ Visualization ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมโครงสร้างของเว็บไซต์ได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างหน้าเว็บต่าง ๆ

Link: SEO Spider Tools

10. Google Pagespeed Insights

เมื่อความเร็วของเว็บไซต์กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับ Google PageSpeed Insights จึงเป็นเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติหลัก ๆ คือ

  • Performance Analysis วิเคราะห์ความเร็วของเว็บไซต์ทั้งบนอุปกรณ์มือถือและคอมพิวเตอร์ โดยให้คะแนนและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างละเอียด
  • Core Web Vitals Measurement วัดค่า Core Web Vitals ที่สำคัญ ได้แก่ Largest Contentful Paint (LCP), First Input Delay (FID) และ Cumulative Layout Shift (CLS) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักที่ Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์
  • Mobile Optimisation Recommendations ให้คำแนะนำในการปรับปรุงประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์มือถือ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือเพิ่มสูงขึ้น
  • Instant Performance Insights สามารถเรียกดูผลการวิเคราะห์ความเร็วได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดเบราว์เซอร์ใหม่ ช่วยให้คุณตรวจสอบและปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว

Link: Google PageSpeed Insights

 

ทำ SEO กับเอเจนซีผู้เชี่ยวชาญ มีโอกาสติดแรงก์สูงกว่า !

Google Chrome Extensions สำหรับ SEO ทั้ง 10 ตัวข้างต้นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่คัดมาแล้วว่าคนทำเว็บไซต์นิยมใช้และเห็นผลจริง อย่างไรก็ตาม การใช้ส่วนขยายเหล่านี้ก็มีข้อควรระมัดระวังอยู่ด้วย กล่าวคือ ส่วนขยายแต่ละตัวจะสามารถดึงทรัพยากรจากเครื่องเราได้มากกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรใช้ด้วยความรอบคอบเสมอ

แต่ถ้าหากต้องการทำ SEO แบบไม่ต้องลงมือลงแรงด้วยตัวเอง ทาง Primal ก็มีผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการรับทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์คุณติดหน้าแรกบน Google อันจะนำมาซึ่งการเพิ่มยอดขายที่มากกว่าเดิม ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหนก็ตาม กรอกฟอร์มเพื่อติดต่อเราได้เลยวันนี้