รู้จักเว็บไซต์ E-Commerce แพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงในยุคนี้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตส่งผลกับชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก โซเชียลมีเดียเองก็แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน ภาคธุรกิจจึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภค เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลาย ๆ ธุรกิจจึงเริ่มหันมาเปิดร้านค้าบนโซเชียลมีเดียกันมากขึ้น เพราะการขายของหรือการเริ่มต้นสร้างแบรนด์ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่ความจริงแล้ว เราอาจลืมคิดไปว่า ยิ่งร้านค้าเข้าสู่โลกออนไลน์เยอะขึ้นเท่าไร อัตราการแข่งขันในวงการการตลาดก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการให้ธุรกิจของตนเองเติบโตขึ้นจากการขยายฐานลูกค้า แค่การใช้โซเชียลมีเดียอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ซึ่งแพลตฟอร์มซื้อ-ขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังมาแรงตีตื้นกับโซเชียลมีเดียในขณะนี้ ก็คือ “เว็บไซต์ E-Commerce”
Table of Contents
เว็บไซต์ E-Commerce คืออะไร?
เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมสุด ๆ เพราะทั้งสะดวก รวดเร็ว แล้วยังมองเห็นจำนวนสินค้าที่เหลืออยู่ได้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่ต้องไปถามคนขายเยอะ หรือรอคำตอบนาน ๆ ให้เสียเวลา กับแพลตฟอร์มที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า “Electric Commerce” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ เว็บไซต์ E-Commerce นั่นเอง
เว็บไซต์ E-Commerce คือ แพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซ (Marketplace) ที่ใช้ดำเนินธุรกิจซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และระบบอินเทอร์เน็ต โดยจะมีเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันเป็นช่องทางในการโปรโมตแบรนด์ รวมถึงเป็นช่องทางติดต่อระหว่างลูกค้าและร้านค้าด้วยกันเอง ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้ E-Commerce ได้รับความนิยมมากในปัจจุบันคือ ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงร้านค้า อ่านรายละเอียดสินค้า จำนวนคงคลัง และเลือกซื้อสินค้าและบริการได้ในทันทีตลอด 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่สะดวกสบาย ซื้อง่าย จ่ายคล่องมากทีเดียว
คุณสมบัติที่ดีของเว็บไซต์ E-Commerce ควรมีอะไรบ้าง?
เนื่องจากโลกของเรามีระบบอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยและเครื่องมือต่าง ๆ ครบครันขึ้นทุกวัน ทำให้ในยุคนี้ การจะสร้างเว็บไซต์ E-Commerce ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพียงแค่เรามีสื่ออิเล็กทรอนิกส์สักเครื่อง ก็สามารถดีไซน์เว็บไซต์สวย ๆ เป็นของตัวเองได้แล้ว แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณสมบัติที่ดีของเว็บไซต์ E-Commerce ควรมีอะไรบ้าง? ดังนั้น บทความนี้จะมาบอกลักษณะของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดี อันเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้เว็บไซต์ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
เว็บไซต์ต้อง User-Friendly มอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้งาน
ก่อนอื่น ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า หากเราเป็นผู้ใช้งานเว็บไซต์ เราจะต้องการเว็บไซต์ที่มีลักษณะแบบใดเป็นสำคัญ?
แน่นอนว่าความสวยงามคงเป็นหนึ่งในคำตอบ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด! เพราะผลสำรวจจาก Hootsuite ระบุว่า 76% ของผู้ใช้งานต้องการเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย หาข้อมูลและเลือกซื้อสินค้าได้สะดวกเป็นหลัก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรทำเว็บไซต์ E-Commerce ให้มีความเป็น User-Friendly เพื่ออำนวยความสะดวกและมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด เพราะไม่เช่นนั้น หากเว็บไซต์ของเรามีความซับซ้อนมากเกินไป ก็มีโอกาสสูงที่ผู้เข้าชมจะออกไปจากเว็บไซต์ทันทีโดยที่ยังไม่ทันได้ใช้งาน
ในส่วนนี้ เราสามารถทำได้โดยการวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระเบียบ จัดหมวดหมู่สินค้าประเภทต่าง ๆ ให้ชัดเจน และหลังจากทำเว็บไซต์เสร็จแล้ว ควรให้ทีมงานหรือคนรอบข้างทดลองใช้งานก่อนเผยแพร่จริง จากนั้นนำฟีดแบ็กที่ได้รับไปพัฒนาและปรับปรุงให้เว็บไซต์มีคุณภาพดียิ่งขึ้น เพื่อที่ผู้ใช้งานทั่วไปรู้สึกประทับใจจากการเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรามากที่สุด
มีรูปแบบการจ่ายเงินที่ไม่ซับซ้อน
อีกหนึ่งขั้นตอนที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ ขั้นตอนการจ่ายเงิน เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์ต้องการคือรูปแบบการชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ซับซ้อน โดยสถิติเกี่ยวกับ E-Commerce ในปี 2022 ระบุว่า ผู้คนที่ซื้อของออนไลน์มากกว่า 53% มักเลือกใช้ Credit Card ในการจ่ายเงิน ตามมาด้วย Digital Payment 43% และ Debit Card 38% ซึ่งเป็นสถิติที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในการจ่ายเงินของผู้บริโภค
เมื่อเป็นเช่นนี้ เว็บไซต์ E-Commerce ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, JD Central และอื่น ๆ จึงต้องเพิ่มช่องทางการชำระเงินในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกใช้ตามความสะดวกของตนเอง โดยถ้าหากเราไม่มีช่องทางการชำระเงินที่ครอบคลุม แถมยังใช้งานยาก อาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจไปใช้เว็บไซต์อื่นที่รู้สึกว่าใช้งานง่ายกว่าได้
ภาพประกอบเว็บไซต์ต้องมีความคมชัด
ภาพสินค้าที่ใช้ ไม่ใช่ว่าจะเอารูปอะไรมาก็ได้ หรือเป็นภาพที่ตรงกับสิ่งที่ขายก็พอ หากแต่ต้องมีความคมชัด มุมกล้องดี องค์ประกอบสวย เพราะรูปภาพเป็นหนึ่งในหัวใจหลักที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามามากขึ้นได้ เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะเห็นภาพสินค้าหลากหลายมุมเพื่อประกอบการตัดสินใจ หากใช้ภาพที่ไฟล์แตก ไม่มีความคมชัด แสงไม่สวย ก็อาจทำให้ลูกค้าเหล่านั้นหมดความสนใจและกดออกไปทันที รวมถึงทำให้เราดูไม่มีความเป็นมืออาชีพอีกด้วย
ทั้งนี้ การอัปโหลดรูปภาพขึ้นเว็บไซต์ควรเลือกใช้นามสกุลไฟล์ที่มีขนาดเล็ก เพื่อให้ภาพโหลดได้เร็วขึ้น โดยผลสำรวจของ Adobe ระบุว่า เว็บไซต์ที่ใช้เวลาโหลดภาพสินค้านานหรือไม่ยอมโหลด จะทำให้ลูกค้าลดลงถึง 39% ดังนั้น นอกจากภาพสวยแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องความไวในการโหลดด้วย!
มีการนำเสนอสินค้าแบบ Personalize และระบบ Search ที่รองรับความต้องการอันหลากหลาย
หากเป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีสินค้าจำนวนมาก การใส่ระบบ Search และ Filter เข้าไปก็จะช่วยให้ลูกค้าเลือกสินค้าที่กำลังมองหาได้ง่ายขึ้น โดยระบบการค้นหาที่ดีนั้นควรมีการแยกหมวดหมู่สินค้าให้ชัดเจน ซึ่งอาจแบ่งเป็นการแยกตามแบรนด์ แยกตามชนิดของสินค้า หรือแยกตามเวลาที่สินค้าวางขายก็ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้เว็บไซต์
นอกจากหน้า Search แล้ว หน้า “สินค้าใหม่” และ “สินค้ายอดนิยม” ก็ควรจะอ้างอิงจากฐานข้อมูลที่ลูกค้าชอบ หรือเรียกว่าเป็นการนำเสนอสินค้าแบบ Personalize เพราะจะทำให้สามารถดึงดูดลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเว็บไซต์ E-Commerce หลาย ๆ เจ้ายังใช้ช่องทางนี้ในการหารายได้เพิ่มด้วยการเก็บค่าโฆษณาสินค้าในหน้าแรกอีกด้วย
ใช้ Live Chat ช่วยตอบคำถามที่พบบ่อย
เนื่องจากความต้องการซื้อของผู้บริโภคสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นตอนที่ร้านปิดทำการแล้วก็ตาม ส่งผลให้บางเวลาที่ลูกค้าถามคำถามเข้ามาอาจไม่มีคนตอบ ส่งผลให้ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจไปหาเว็บไซต์อื่นได้ ดังนั้น เว็บไซต์ E-Commerce จึงควรมี Live Chat หรือ Chatbot ให้ลูกค้าได้ติดต่อประสานงานกับทีม Support ได้โดยตรง โดย Live Chat จะช่วยตอบคำถามที่มักพบบ่อยแบบอัตโนมัติในทันที ไม่ต้องปล่อยให้ลูกค้ารอคำตอบแบบข้ามวันข้ามคืนจนรู้สึกอารมณ์เสีย นอกจากนี้ Live Chat ยังส่งผลถึง Conversion Rate ด้วย โดยสถิติจาก Goinflow ระบุว่า เว็บไซต์ที่มี Live Chat หรือ Chatbot จะทำให้เกิด Conversion Rate ถึง 3.84% เลยทีเดียว
มีหน้ารีวิวเพื่อยืนยันคุณภาพของสินค้าและบริการ
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการทำเว็บไซต์ E-Commerce คือการมีหน้ารีวิวทั้งร้านค้าและสินค้าไว้บนแพลตฟอร์มด้วย เพราะผู้บริโภคในโลกออนไลน์จำนวนมากต้องการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของร้านค้าจากรีวิวก่อนจะตัดสินใจซื้อเสมอ ดังนั้น การสร้างหน้ารีวิวเอาไว้ก็จะสร้างการมีส่วนร่วมบนเว็บไซต์ได้มากขึ้น
เว็บไซต์ต้องรองรับการทำ SEO
ที่สำคัญที่สุดและไม่นึกถึงไม่ได้! คือการที่เว็บไซต์ E-Commerce ของเราต้องรองรับการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ด้วย เนื่องจากเป็นการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine ซึ่งจะทำให้อัลกอริทึมเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าเว็บไซต์ของเราเกี่ยวข้องกับอะไร และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างไรบ้าง โดยหากเราทำอย่างถูกวิธี เว็บไซต์ของเราก็จะปรากฏในอันดับต้น ๆ ของหน้าการค้นหา อันจะนำมาซึ่งยอดผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นโดยที่เราไม่ต้องเสียเงินโปรโมต นั่นหมายความว่าโอกาสที่ธุรกิจของเราจะประสบความสำเร็จก็ย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วย
สรุป
ธุรกิจ E-Commerce นั้นมีประโยชน์แก่ผู้บริโภคในหลาย ๆ ด้านหากเราในฐานะเจ้าของธุรกิจรู้จักสร้างสรรค์ให้ถูกต้องและเหมาะสม เพราะบางครั้งการขายของบนโซเชียลมีเดียก็มีข้อจำกัดหลาย ๆ ด้าน เช่น ต้องรอผู้ขายมาตอบก่อนถึงจะปิดการขายได้ ทำให้อาจเสียเวลาไปทำอย่างอื่น แต่ในขณะเดียวกัน บนเว็บไซต์ E-Commerce ผู้ซื้อสามารถปิดการซื้อ-ขายเองได้เลย ซึ่งลักษณะสำคัญของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีในยุคนี้คือ การสร้างระบบที่เป็นมิตร ใช้งานง่าย อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ ตลอดจนมีความน่าเชื่อถือเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเว็บไซต์ได้อย่างสนิทใจ
Join the discussion - 0 Comment