5 วิธีการบีบอัดภาพ SEO ช่วยเว็บฯ โหลดเร็วและติดอันดับดี
จากข้อมูลของ Google พบว่า 53% ของผู้ใช้จะออกจากเว็บฯ ทันที หากเว็บไซต์นั้น ๆ ดาวน์โหลดนานเกิน 3 วินาที ซึ่งสาเหตุสำคัญเกิดจากรูปภาพที่กินพื้นที่ไปถึง 75% ของข้อมูลทั้งหมดบนหน้าเว็บไซต์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่การบีบอัดรูปภาพให้เล็กลง กลายเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้เว็บฯ ของคุณดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น ทั้งยังส่งผลดีต่อการติดอันดับสูง ๆ บน Google นอกจากนี้ ยังจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้ได้มากขึ้นด้วย
Table of Contents
การบีบอัดภาพสำคัญต่อ SEO อย่างไร
-
เพิ่มความเร็วเว็บไซต์
ประการแรกและสำคัญที่สุด การบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลงจะช่วยลดเวลาดาวน์โหลดข้อมูลได้อย่างมาก เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับความเร็วในการโหลดหน้าเว็บฯ และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ ดังนั้น เว็บไซต์ที่โหลดได้เร็วจึงมีโอกาสติด SEO ในอันดับต้น ๆ ได้มากกว่า
-
ลดการใช้ Bandwidth
นอกจากความเร็วแล้ว การมีภาพขนาดเล็กยังช่วยประหยัด Bandwidth (ปริมาณการรับส่งข้อมูล หรือ Data-Transfer ทางอินเทอร์เน็ต) ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมจำนวนมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลเว็บไซต์ แต่ยังช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
-
ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)
เมื่อผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาได้รวดเร็วและราบรื่น พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อ User Engagement Metrics อย่าง Time on Site (ค่าเฉลี่ยของเวลาที่คนอยู่บนเว็บไซต์) และ Bounce Rate (อัตราที่ผู้ใช้งานเข้ามาในเว็บไซต์แล้วกดออก) ที่ Google ใช้เป็นสัญญาณบ่งชี้คุณภาพของเว็บไซต์ในการจัดอันดับ SEO
5 วิธีการบีบอัดภาพสำหรับทำ SEO
การบีบอัดภาพเป็นหนึ่งในเทคนิคสำคัญที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับ SEO มากขึ้น มาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยบีบอัดภาพให้ได้ผลดีที่สุด
-
เลือกรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสม (File Format)
ก่อนจะเริ่มบีบอัดภาพ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือเลือกรูปแบบไฟล์ให้เหมาะกับประเภทของภาพเสียก่อน ซึ่งจะช่วยให้ได้ภาพที่มีขนาดเล็กแต่คุณภาพยังดีอยู่ เช่น ถ้าเป็นภาพถ่ายให้ใช้ JPEG แต่ถ้าเป็นโลโก้ให้ใช้ PNG โดยแต่ละไฟล์จะมีรูปแบบการใช้งานดังนี้
- JPEG : ใช้สำหรับภาพถ่ายทั่วไป ภาพสินค้า หรือภาพประกอบบทความ คุณสามารถปรับระดับการบีบอัดได้ตามต้องการ แต่ไม่สามารถทำพื้นหลังให้โปร่งใสได้ เหมาะสำหรับภาพที่มีสีสันและรายละเอียดมาก
- PNG : เลือกใช้เมื่อคุณต้องการความคมชัดสูง เช่น โลโก้ กราฟ หรือภาพที่มีตัวอักษร ข้อดีคือสามารถทำพื้นหลังโปร่งใสได้ แต่ไฟล์จะมีขนาดใหญ่กว่า JPEG
- WebP : เป็นทางเลือกใหม่ที่ดีที่สุด เพราะมีขนาดเล็กกว่า JPEG และ PNG ถึง 30-50% แต่คุณภาพยังดีเทียบเท่า สามารถใช้ได้ทั้งภาพถ่ายและภาพกราฟิก รวมถึงรองรับการทำพื้นหลังโปร่งใสได้ด้วย
-
ใช้เครื่องมือบีบอัดภาพให้เหมาะกับงาน
เมื่อเลือกรูปแบบไฟล์ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกวิธีบีบอัดที่เหมาะสม โดยคุณจำเป็นต้องพิจารณาว่าภาพนั้นต้องการคุณภาพระดับใด เพื่อให้ได้ไฟล์ที่มีขนาดเล็กลงแต่ยังคงคุณภาพตามที่ต้องการ
- Lossless Compression : เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการคงคุณภาพ 100% โดยเฉพาะโลโก้และภาพกราฟิกที่ต้องการความคมชัด เพราะจะช่วยลดขนาดไฟล์โดยไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ
- Lossy Compression : เหมาะสำหรับภาพทั่วไปที่สามารถยอมรับการลดคุณภาพลงได้บ้าง ซึ่งจะช่วยลดขนาดไฟล์ได้มากกว่า โดยเฉพาะภาพถ่ายหรือภาพประกอบที่ไม่จำเป็นต้องมีความละเอียดสูงมาก
-
ปรับขนาดภาพให้เหมาะกับการใช้งาน
การปรับขนาดภาพให้เหมาะสม คุณควรตรวจสอบความกว้างของพื้นที่แสดงผลบนเว็บไซต์ก่อน เช่น ถ้าพื้นที่แสดงผลกว้างสุด 1200px ก็ควรปรับภาพให้มีขนาดไม่เกินนี้ โดยคุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Canva, Photoshop หรือ GIMP ในการปรับขนาด
ขนาดมาตรฐานที่แนะนำ
- ภาพพื้นหลัง : 1920 x 1080 pixels (16:9)
- ภาพหน้าแรก : 1280 x 720 pixels (16:9)
- ภาพประกอบบทความ : 1200 x 630 pixels (3:2)
- แบนเนอร์เว็บไซต์ : 250 x 250 pixels (1:1)
- โลโก้แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า : 250 x 100 pixels (2:3)
- โลโก้แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส : 100 x 100 pixels (1:1)
- ภาพขนาดย่อ : 150 x 150 pixels (1:1)
-
ใช้ Lazy Load เพื่อการโหลดภาพที่รวดเร็ว
Lazy Load เป็นเทคนิคที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้เร็วขึ้น โดยจะทำการดาวน์โหลดเฉพาะภาพที่ผู้ใช้กำลังดูอยู่ ส่วนภาพที่อยู่ด้านล่างจะทยอยโหลดเมื่อผู้ใช้เลื่อนลงมาถึง
วิธีติดตั้งแบบง่าย ๆ คือ
- สำหรับ WordPress : ติดตั้งปลั๊กอิน Lazy Load by WP Rocket แล้วเปิดใช้งาน
- สำหรับเว็บไซต์ทั่วไป : เพิ่มโค้ด loading=”lazy” ในแท็ก <img> เช่น <img src=”example.jpg” loading=”lazy” alt=”ตัวอย่างภาพ”>
-
ใช้ CDN เพื่อส่งภาพได้เร็วขึ้น
CDN หรือ Content Delivery Network เป็นระบบที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณส่งภาพได้เร็วขึ้น โดยจะกระจายการดาวน์โหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่อยู่ใกล้กับผู้ใช้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยประหยัดทรัพยากรและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ประโยชน์ที่จะได้รับ
- สามารถเพิ่มความเร็วในการโหลดได้ถึง 30-40%
- ช่วยลดภาระการทำงานของเซิร์ฟเวอร์หลัก
- สามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมากได้พร้อมกัน
บริการที่แนะนำ
- Cloudflare : เหมาะสำหรับเว็บไซต์ทั่วไป มีแพ็กเกจฟรีให้ใช้งาน
- Amazon CloudFront : เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการความเสถียรสูง
ขั้นตอนการบีบอัดภาพเพื่อ SEO ที่นำไปใช้ได้จริง
หลังจากที่ได้รู้เทคนิคสำคัญกันไปแล้ว ต่อมาเราจะมาแนะนำการบีบอัดภาพอย่างเป็นขั้นตอน มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
เตรียมภาพต้นฉบับ
ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดคือการเตรียมภาพต้นฉบับที่มีคุณภาพดี เพราะการบีบอัดจะทำให้คุณภาพของภาพลดลง ดังนั้นภาพต้นฉบับควรมีความละเอียดสูง มีความคมชัด และได้รับการปรับแต่งสี แสง เงา ให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อให้เมื่อบีบอัดแล้ว ภาพยังคงความสวยงามอย่างที่ต้องการ
ปรับขนาดภาพให้เหมาะสม
เมื่อได้ภาพต้นฉบับที่ดีแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับขนาดให้เหมาะกับการใช้งาน โดยคุณสามารถเลือกใช้เครื่องมือต่าง ๆ ดังนี้
- Photoshop : เหมาะสำหรับมืออาชีพ เพราะมีเครื่องมือครบครัน สามารถปรับแต่งได้ละเอียด และรองรับการทำงานหลายรูปแบบ
- GIMP : ทางเลือกที่สามารถใช้งานได้ฟรี มีความสามารถใกล้เคียง Photoshop เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการลงทุนซื้อโปรแกรม
- Canva : แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะใช้งานง่าย มีเทมเพลตให้เลือกมากมาย และสามารถปรับขนาดได้ตามต้องการ
บีบอัดภาพด้วยเครื่องมือออนไลน์
หลังจากปรับขนาดแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการบีบอัดภาพให้มีขนาดเล็กลง โดยมีเครื่องมือให้เลือกใช้ดังนี้
- Squoosh : เครื่องมือจาก Google ที่ให้คุณปรับแต่งการบีบอัดได้ละเอียด สามารถเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อน-หลังได้ทันที
- TinyPNG/TinyJPG : ใช้งานง่าย เพียงลากไฟล์วางแล้วรอผล เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
- ImageOptim (Mac)/RIOT (Windows) : โปรแกรมที่ติดตั้งในเครื่อง เหมาะสำหรับการบีบอัดภาพจำนวนมาก
- Compressor.io : มีตัวเลือกการบีบอัดที่หลากหลาย และสามารถเลือกระดับการบีบอัดได้
บันทึกและอัปโหลดภาพ
เมื่อบีบอัดเสร็จแล้ว ให้บันทึกไฟล์โดยตั้งชื่อให้เป็นระบบและง่ายต่อการค้นหา จากนั้นอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์ โดยตรวจสอบการแสดงผลบนหน้าเว็บฯ ว่าภาพยังคมชัดและสวยงามตามที่ต้องการ
ทดสอบความเร็วเว็บไซต์
ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบว่าการบีบอัดภาพช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์หรือไม่ โดยคุณสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ ดังนี้
- Google PageSpeed Insights
เครื่องมือจาก Google ที่จะช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บฯ อย่างละเอียด โดยจะแยกผลการทดสอบระหว่างมือถือและเดสก์ท็อป พร้อมทั้งให้คะแนนและคำแนะนำในการปรับปรุง นอกจากนี้ยังช่วยระบุปัญหาที่เกี่ยวกับรูปภาพ เช่น ภาพที่มีขนาดใหญ่เกินไป หรือภาพที่ยังไม่ได้รับการบีบอัดอย่างเหมาะสม
- GTmetrix
หลังจากใช้ PageSpeed Insights แล้ว คุณสามารถใช้ GTmetrix เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติม เนื่องจากเครื่องมือนี้จะแสดงรายละเอียดการดาวน์โหลดของแต่ละองค์ประกอบบนหน้าเว็บฯ โดยเฉพาะรูปภาพ ทำให้คุณเห็นได้ชัดว่าการบีบอัดช่วยปรับปรุงคะแนนความเร็วอย่างไร อีกทั้งยังมีคำแนะนำเฉพาะทางที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น
- Pingdom Tools
ส่วน Pingdom Tools จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของความเร็วบนเว็บไซต์ โดยทดสอบจากเซิร์ฟเวอร์ในหลายประเทศ ทำให้เข้าใจว่าผู้ใช้จากต่างพื้นที่จะมีประสบการณ์การใช้งานอย่างไร นอกจากนี้ ยังสามารถวิเคราะห์สัดส่วนขนาดไฟล์แต่ละประเภท ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นว่าไฟล์รูปภาพส่งผลต่อความเร็วโดยรวมมากน้อยเพียงใดด้วย
ข้อควรระวังในการบีบอัดภาพ
นอกจากเทคนิคการบีบอัดภาพที่กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อควรระวังที่คุณควรให้ความสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ดังนี้
- การบีบอัดภาพที่มากเกินไป
แม้จะช่วยให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง แต่การบีบอัดภาพจนเล็กเกินไปอาจส่งผลให้ภาพแตกหรือไม่คมชัด ซึ่งจะกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ ดังนั้น ควรหาจุดสมดุลระหว่างขนาดไฟล์และคุณภาพของภาพให้ดี
- การทดสอบความเร็วบนเว็บไซต์หลังปรับภาพ
หลังบีบอัดภาพและอัปโหลดเรียบร้อยแล้ว คุณควรทดสอบความเร็วเว็บไซต์ด้วย เพราะจะช่วยให้คุณเห็นว่าเทคนิคที่ใช้ได้ผลจริงหรือไม่ และอาจต้องปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนใด เพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพสูงสุด
จะเห็นได้ว่า การบีบอัดรูปภาพ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตทางธุรกิจอีกด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดี พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะใช้เวลาบนเว็บไซต์นานขึ้น ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่โอกาสที่สูงขึ้นในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมให้กลายเป็นลูกค้าที่มีคุณภาพ
สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยยกระดับเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพ ปรึกษา Primal ได้เลย เรามาพร้อมบริการทำ SEO โดยทีมผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ ที่มีความรู้ด้านการทำ SEO อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งโครงสร้างเว็บไซต์ การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ตลอดจนการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพในทุกมิติ ถ้าอยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะเติบโตได้ไกลแค่ไหน เพียงกรอกรายละเอียดเพื่อให้ทีมกลยุทธ์ของเราติดต่อกลับตอนนี้
Join the discussion - 0 Comment