Google Ads มีกี่ประเภท ? และแบบไหนเหมาะกับธุรกิจคุณที่สุด

ช่วงหลังมานี้ นอกจากการทำ SEO แล้ว หลาย ๆ ธุรกิจได้หันมาลงสนาม Google Ads เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าแรกของ Search Engine กันมากขึ้น ส่งผลให้ Google ต้องเร่งพัฒนาอัลกอริทึมในส่วนของโฆษณาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานมากกว่าเดิม ซึ่งสิ่งนี้เองที่เหล่าผู้ประกอบการและเจ้าของแบรนด์ควรตามให้ทัน เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาแผนการตลาดให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่อัลกอริทึมกำหนด รวมถึงจะได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสุดท้ายแล้ว ความเข้าใจในรูปแบบโฆษณาของ Google ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อยอดขายที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้คุณสามารถเอาชนะคู่แข่งในสนามเดียวกันได้อีกด้วย

Google Ads มีกี่ประเภท ควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ

ทบทวนความจำกันหน่อย Google Ads คืออะไร

Google Ads คือ โฆษณาของ Google ที่เปิดโอกาสให้เจ้าของธุรกิจสามารถเข้ามาประมูลพื้นที่โฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ของตนเองได้ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของผลการค้นหา เพียงแค่ผู้ใช้งานเซิร์ชคียเวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม สินค้า หรือบริการของคุณ ก็จะเจอเว็บไซต์คุณได้ในทันที โดย Google Ads จะมีรูปแบบการทำโฆษณาให้เลือกหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แตกต่างกันไป ดังนี้

  • Sales : เพิ่มยอดขายออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นผ่านทางแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ หรือ Online Shop
  • Leads : เพิ่มจำนวนลูกค้าและโอกาสในการขาย โดยการดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณา
  • Website Traffic : เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ด้วยการเจาะกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด
  • Product & Brand Consideration : ช่วยให้ผู้คนเห็นสินค้าและแบรนด์ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจให้ง่ายยิ่งขึ้น
  • Brand Awareness & Reach : เพิ่มการมองเห็นและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
  • App Promotion : เพิ่มโอกาสให้ผู้คนเห็นแอปฯ และดาวน์โหลดมาติดตั้งบนสมาร์ตโฟนมากขึ้น (สำหรับธุรกิจที่ทำแอปพลิเคชัน)
  • Create Campaign Without A Goal’s Guidance : สร้างแคมเปญด้วยการกำหนดเองทุกขั้นตอน ช่วยให้ทำโฆษณาได้อย่างอิสระและเหมาะสมกับแบรนด์มากที่สุด

 

Google Ads มีกี่ประเภท

สำหรับอัปเดตล่าสุด Google Ads สามารถแบ่งได้เป็น 9 ประเภท มาดูกันว่าแต่ละรูปแบบคืออะไร และมีจุดเด่นแตกต่างกันอย่างไร เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ 

1. Search (Google Search)

Search Ads คือ โฆษณาของ Google ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้น ๆ โดยลักษณะการทำจะมีคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับชื่อธุรกิจหรือสินค้าและบริการเป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อผู้ใช้งานพิมพ์ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้น ๆ บน Google เว็บไซต์ของคุณก็จะแสดงผลขึ้นมาเป็นอันดับต้น ๆ ทันที ซึ่งจะมีคำว่า “Ad” อยู่ข้างหน้า แต่จะอันดับที่เท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่คุณประมูล

2. Google Display Network (GDN)

Google Display Network Ads คือ โฆษณาที่แสดงผลในรูปแบบของแบนเนอร์รูปภาพและตัวหนังสือ (Text Ads) โดย Google จะส่งแบนเนอร์ของเราไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของคุณ เรียกได้ว่าเป็นโฆษณาของ Google อีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย เพราะสามารถทำภาพได้หลากหลายขนาด ทั้งยังเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเห็นโฆษณาเยอะขึ้น

3. Shopping Ads

Google Shopping Ads คือ รูปแบบโฆษณาที่คุณสามารถใส่รูปภาพพร้อมรายละเอียดของสินค้าได้ เมื่อมีคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้านั้น ๆ Search Engine จะได้นำภาพ รายละเอียด และราคาของสินค้าดังกล่าวมาแสดงผลในทันที ซึ่งหากผู้พบเห็นเกิดความสนใจก็สามารถคลิกเข้าไปและสั่งซื้อบนหน้าเว็บไซต์ของคุณได้เลย เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าโดยตรง

4. Video (YouTube)

YouTube Ads คือ โฆษณาในรูปแบบวิดีโอที่จะแสดงผลขณะที่ผู้คนกำลังรับชมคลิปต่าง ๆ บน YouTube โดยโฆษณาสามารถปรากฏได้ทั้งช่วงต้นคลิปและระหว่างคลิป เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ที่ชื่นชอบคอนเทนต์วิดีโอ หรือธุรกิจที่ต้องการสร้างเนื้อหาที่มีผลกระทบทางอารมณ์ เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภค

5. Mobile App Ads

เคยได้ยินชื่อกันมานาน แต่หลายคนน่าจะยังสงสัยว่า Mobile App Ads คืออะไร จริง ๆ แล้วโฆษณาของ Google ประเภทนี้ออกแบบมาสำหรับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชันโดยเฉพาะ กล่าวคือ เป็นการนำเสนอแอปพลิเคชันทั้งในรูปแบบของ Google Display Network หรือแบนเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นบน YouTube หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ไปจนถึงบน Google Play Store ซึ่งข้อดีของการทำโฆษณารูปแบบนี้ คือ ผู้ใช้สามารถกดที่แบนเนอร์นั้น ๆ แล้วติดตั้งแอปฯ ได้ทันทีโดยไม่ต้องกดค้นหาเองให้ยุ่งยาก

6. Remarketing Ads

เป็นรูปแบบการนำโฆษณาของ Google ประเภทต่าง ๆ ทั้ง Google Search, Google Display Network และ Google Shopping ไปแสดงแก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดิมซ้ำ ๆ เพื่อให้ผู้เข้าชมที่เคยมีส่วนร่วม (Engagement) หรือเคยกระทำการ (Action) บางอย่างบนเว็บไซต์ของคุณได้เห็นโฆษณานั้นซ้ำอีกครั้ง ช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้ว่ายังมีแบรนด์นี้อยู่ และจากที่อาจลืมไปแล้วว่าเคยอยากได้ ก็จะรู้สึกอยากกลับมาซื้อมากขึ้น

7. Smart Campaigns

โฆษณาอัจฉริยะที่ Google ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและผู้ที่ยังขาดประสบการณ์ในการทำโฆษณาสามารถเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น ด้วยการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อรันแคมเปญโฆษณาเองแบบอัตโนมัติ คุณเพียงแค่กำหนดเป้าหมาย งบประมาณ และให้ข้อมูลพื้นฐานคร่าว ๆ เกี่ยวกับธุรกิจ Google ก็จะทำการประมูลและสร้างโฆษณาให้ทันที

8. Discovery Ads

Discovery Ads เป็นรูปแบบโฆษณาที่นำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจแก่ผู้ใช้ในขณะที่พวกเขากำลังค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจะปรากฏอยู่บนหลายพื้นที่ เช่น ฟีด Discovery บน YouTube, หน้าหลักของ Google หรือแม้แต่แท็บ Promotions ใน Gmail โดยสามารถทำได้ทั้งแบบเป็นภาพและวิดีโอ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)

9. Local Ads Campaigns

เป็นรูปแบบโฆษณาของ Google ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจท้องถิ่นเพิ่มอัตราการเข้าชมร้านค้าจริง และส่งเสริมการขายในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะแสดงข้อมูลสำคัญของธุรกิจ เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ บน Google Search, Google Maps และ Google Display Network

โฆษณาของ Google สามารถดูข้อมูลเชิงลึกของแคมเปญได้

รวมเทรนด์การทำ Google Ads สำหรับธุรกิจทุกประเภท ฉบับอัปเดตล่าสุด

Landing Page ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้

Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของ Landing Page เป็นอย่างมาก จึงกำหนดนโยบายที่นักพัฒนาเว็บไซต์ควรปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้ใช้งานสะดวก โหลดไว และ URL ต้องสอดคล้องกับเนื้อหา ซึ่งหากปฏิบัติตาม รับรองว่าหน้า Landing Page ของคุณจะสามารถสร้างคอนเวอร์ชันจากการทำโฆษณาบน Google ได้

ใช้ Performance Max เพิ่มประสิทธิภาพ

Performance Max ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่หลายคนอาจยังไม่ค่อยคุ้นว่าคืออะไร โดยวัตถุประสงค์ของการใช้แคมเปญนี้ก็เพื่อสร้างคอนเวอร์ชันบนช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Google Search, Video, Google Map ตลอดจน Google Display Network ซึ่งคุณสามารถยิงแอดแคมเปญเดียวไปยังแพลตฟอร์มทั้งหมดนี้ได้เลย ทั้งยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง หรือ Lookalike Audience เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

ไม่มี Third-Party Cookie อีกต่อไป

เมื่อปี 2023 Google ประกาศยกเลิกการเก็บข้อมูล Third-Party Cookies เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผนซื้อโฆษณาของ Google จึงควรวางแผนเรื่องการเก็บข้อมูลลูกค้าใหม่ โดยอาจเปลี่ยนจากการเก็บข้อมูลด้วย Third-Party Cookies มาใช้ข้อมูลจาก First-Party Cookie ที่มาจากเว็บไซต์ของของคุณเองแทน

Google Shopping ได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Storegrowers ระบุว่า ขณะนี้ นักการตลาดนิยมซื้อโฆษณาประเภท Google Shopping เพิ่มสูงขึ้นถึง 38% เพราะในโฆษณาประกอบไปด้วยรายละเอียดสำคัญ ๆ ที่ลูกค้าต้องการรู้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นราคา รูปแบบการส่งสินค้า หรือแม้แต่คะแนนรีวิว ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจคลิกสั่งซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น

Smart Bidding กำลังเข้ามามีบทบาทในวงการ PPC

PPC หรือ Pay Per Click คือ รูปแบบโฆษณาที่มีการคิดค่าโฆษณาตามจำนวนคลิก ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้ประกอบการ ด้วยเหตุนี้ Google จึงพัฒนาอัลกอริทึมอย่าง Smart Bidding หรือเครื่องมือช่วยซื้อโฆษณาขึ้นมา ทำหน้าที่ช่วยควบคุมงบประมาณในการยิงแอด เน้นให้มีการเสนอราคา (Bidding) ที่คุ้มค่าที่สุด โดยการบิดแต่ละครั้งก็จะอิงตามข้อมูลของแคมเปญอื่น ๆ ที่มีอยู่ในระบบ ทำให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีข้อมูลของแคมเปญคู่แข่งเลยก็ตาม

Product Feeds กำลังมาแรง

นอกจากโฆษณาวิดีโอแบบปกติบน YouTube แล้ว ในปีนี้ เทรนด์การโฆษณาแบบ Product Feeds ก็กำลังมาแรงบน YouTube เช่นกัน โดยแบรนด์สามารถนำเสนอสินค้าผ่าน Feeds ด้านล่างโฆษณาในรูปแบบ Showcase เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปชมคลิปบน YouTube เห็นสินค้าหรือบริการที่น่าสนใจ แล้วคลิกเข้ามายังหน้าเว็บไซต์ได้โดยตรง แต่จะมีข้อจำกัดตรงที่ ผู้ใช้งานสามารถมองเห็น Feeds ได้เฉพาะในกรณีที่ใช้งานสมาร์ตโฟนแบบแนวตั้งเท่านั้น

 

Google Ads หัวใจสำคัญที่นักธุรกิจออนไลน์ไม่ควรมองข้าม

ได้รู้กันไปแล้วว่า Google Ads มีกี่ประเภท แต่ที่รู้แน่ ๆ อีกอย่างหนึ่งคือ โฆษณาของ Google ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และทำให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นได้ในวงกว้าง ดังนั้น ขอแนะนำให้ทุกคนหมั่นอัปเดตเทรนด์และการเปลี่ยนแปลงของอัลกอริทึมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะนำไปปรับแผนทางธุรกิจได้ทันและสร้างผลลัพธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วนสำหรับใครที่กำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยเหลือเรื่องการทำโฆษณา Google Ads ที่ Primal เรามีนักการตลาดกว่า 150 คนที่พร้อมให้คำปรึกษา สามารถติดต่อเพื่อรับแผนการตลาดฟรีได้เลยวันนี้