Google Consent Mode คืออะไร ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้อย่างไร
ในยุคที่ทุกคนหันมาซื้อสินค้าออนไลน์ “ข้อมูล” ของลูกค้าเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่า เพราะไม่เพียงนำไปวิเคราะห์ เพื่อออกแบบแผนการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังแสดงถึงผลลัพธ์จากการทำการตลาดที่ผ่านมาได้ด้วย โดยมีเครื่องมือชิ้นสำคัญอย่างคุกกี้ (Cookie Consent) ที่ใช้เก็บข้อมูลทางออนไลน์จากลูกค้านั่นเอง
แต่เมื่อเราอยู่ในยุคแห่ง Data Privacy ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมาย PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถนำข้อมูลลูกค้าไปใช้ได้อย่างอิสระ การเข้าถึงข้อมูลในเว็บไซต์จึงจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากลูกค้าเสียก่อน โดยมักจะอยู่ในรูปแบบการกดยินยอม (Consent) เพื่อทำการจัดเก็บข้อมูลในแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ Google จึงพยายามหาวิธีช่วยให้ผู้ประกอบการรักษาประสิทธิภาพทางการตลาดภายใต้ข้อจำกัดนี้ให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของ Google Consent Mode เครื่องมือที่จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าถึงข้อมูลลูกค้าได้แม้พวกเขาจะไม่ยินยอมเปิดเผยข้อมูลโดยตรง
แล้ว Google Consent Mode มีหลักการทำงานอย่างไร? และจะช่วยเปิดเผยข้อมูลลูกค้าโดยไม่ละเมิดข้อบังคับ PDPA ได้จริงหรือไม่ มารู้พร้อมกันในบทความนี้!
Table of Contents
ทำความรู้จักกับคุกกี้ (Cookie Consent) องค์ประกอบสำคัญของ Google Consent Mode
ก่อนจะไปเข้าเรื่อง Google Consent Mode เรามาทำความรู้จัก คุกกี้ (Cookie Consent) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของเครื่องมือนี้กันก่อน
คุกกี้ (Cookie Consent) คือเครื่องมือขออนุญาตเก็บข้อมูลการใช้งานของลูกค้าที่เข้ามาในเว็บไซต์ เป็นทางเลือกที่ผู้ใช้งานจะอนุญาตหรือไม่กดยินยอมให้เก็บข้อมูลส่วนตัวก็ได้ โดยผู้ประกอบการหลาย ๆ คน มักใช้คุกกี้เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด โดยข้อมูลที่เก็บไปนั้น จะนำไปวิเคราะห์ความสนใจของลูกค้า วางแผนกลยุทธ์ ทำ Re-Marketing และทำ Re-Targeting เพื่อให้สามารถสร้างแผนการตลาดที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Google Consent Mode คืออะไร?
Google Consent Mode คือเครื่องมือช่วยเก็บและแสดงผลข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดที่เข้ามามีส่วนร่วมในเว็บไซต์ผ่านการขออนุญาตจากคุกกี้ ทั้งข้อมูลลูกค้าจากกลุ่ม “ที่กดยินยอม” และจากฝั่งกลุ่มที่ “ไม่กดยินยอม” ด้วย
โดย Google Consent Mode มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่เครื่องมือนี้ สามารถประมวลและคำนวณข้อมูลที่มีอยู่ แล้วแสดงออกมาเป็นผลลัพธ์ข้อมูล Conversion ของลูกค้ากลุ่ม “ที่ไม่กดยินยอม” ในรูปแบบภาพรวมเชิงสถิติได้ ที่สำคัญข้อมูลที่เผยออกมายังไม่ละเมิดข้อบังคับความเป็นส่วนตัว PDPA อีกด้วย ทำให้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถมองเห็นผลลัพธ์ด้าน Conversion ของลูกค้าทุกกลุ่ม เพื่อที่จะนำไปทำแผนการตลาดได้อย่างครบถ้วน และแม่นยำมากที่สุด
Google Consent Mode มีหลักการทำงานอย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่า หากในเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมาย PDPA หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอยู่ แล้วเครื่องมืออย่าง Google Consent Mode จะรู้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานหรือ Conversion ของ “กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” ได้อย่างไร?
ตามหลักแล้ว ผู้ใช้งานเว็บไซต์สามารถแบ่งเป็น “กลุ่มที่กดยินยอม” ทำให้ Google เก็บข้อมูลส่วนตัวผ่านทางคุกกี้ เพื่อไปใช้ประโยชน์ทางการตลาดต่อได้ และ “กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” ที่ Google ไม่สามารถเก็บข้อมูลส่วนตัวได้
Google Consent Mode ก็คือผู้ช่วยคนสำคัญที่จะมาเปิดเผยข้อมูลของ “กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” นี้ โดยมีวิธีการอย่างการนำข้อมูล Conversion จาก “กลุ่มที่กดยินยอม (Consent)” มาเข้ากระบวนการ Machine Learning เพื่อที่จะได้เอามาสร้างเป็นโมเดลข้อมูล (Conversion Modeling) เพื่อดูว่าพฤติกรรมอะไร รูปแบบไหนที่ทำให้เกิด Conversion ต่อเว็บไซต์บ้าง
หลังจากนั้น Google ก็จะนำเอาโมเดลข้อมูล (Conversion Modeling) ที่ได้ ไปใช้วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลแบบไม่ระบุตัวตนของ “กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” เพื่อที่จะคำนวณออกมาว่า Conversion ของกลุ่มที่เราไม่มีทางรู้ข้อมูลนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นเป็นจำนวนเท่าไร โดย Google ได้มีการยืนยันด้วยตัวเองว่า การวัดข้อมูลของ “กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” ที่หายไปนี้ สามารถโชว์ข้อมูลกลับคืนมาได้มากกว่า 70% ใกล้เคียงกับตอนที่ยังไม่มีกฎหมาย PDPA มาจำกัดข้อมูลลูกค้า พูดง่าย ๆ ก็คือแม้ผู้ใช้งานจะไม่กดยินยอมให้นักการตลาดเข้าถึงข้อมูลของพวกเขาได้โดยตรง แต่ Google Consent Mode ก็จะทำให้เราเห็นข้อมูลก้อนนั้น เพื่อนำมาวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางธุรกิจต่อได้
ดังนั้นหากเจ้าของธุรกิจท่านใดที่ไม่ได้ใช้ Google Consent Mode กู้คืนข้อมูลลูกค้าที่หายไปจาก PDPA ก็อาจทำให้คุณพลาดข้อมูลส่วน Conversion ไปกว่า 70% เลยทีเดียว
Google Consent Mode ใช้วิธีการอย่างไรเก็บข้อมูล?
Google Consent Mode จะทำงานร่วมกับ Global Site Tag หรือ Google Tag Manager เพื่อสร้างแท็กสำหรับควบคุมพฤติกรรมการเก็บข้อมูลของคุกกี้ทั้งสองประเภทด้วยกัน โดยใช้แท็ก “ad_storage” สำหรับควบคุมพฤติกรรมของคุกกี้โฆษณา (Ads Cookies) และใช้แท็ก “analytics_storage” สำหรับควบคุมพฤติกรรมของคุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics Cookies)
หากเว็บไซต์ติดตั้งแท็ก ad_storage แล้ว แท็กนี้ก็จะเข้ามาควบคุมพฤติกรรมของคุกกี้โฆษณา โดยที่จะเก็บข้อมูลของกลุ่มที่กดยินยอมมาวิเคราะห์ และ Remarketing ได้ตามปกติ ส่วนลูกค้ากลุ่มที่ไม่กดยินยอม แท็ก ad_storage จะเก็บข้อมูลของลูกค้าแบบไม่ระบุตัวตน โดยที่ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถนำไปทำการ Retargetting รายบุคคลได้
ดังนั้นใน Report ของ Google Consent Mode ก็จะแสดงผล Conversion ของลูกค้ากลุ่มที่กดยินยอมแบบละเอียดที่ลงลึกรายบุคคล ในขณะที่ Conversion ของกลุ่มที่ไม่กดยินยอมจะแสดงออกมาในรูปแบบภาพรวมเชิงสถิติ ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น นำเสนอ Referrer ช่องทางที่ลูกค้าเข้ามายังเว็บไซต์ นำเสนอ Timestamps ระบุเวลาที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือแม้แต่นำเสนอ User Agent เบราว์เซอร์หรือระบบปฏิบัติการของลูกค้า โดยจะนำเสนอในรูปแบบของภาพรวมเท่านั้น
Google Consent Mode สำคัญอย่างไร?
แล้ว Google Consent Mode สำคัญอย่างไรต่อการทำการตลาดบ้าง
1. ช่วยให้วัดผลลัพธ์ Conversion Rate ได้แม่นยำขึ้น
ด้วยการสร้างโมเดลข้อมูล (Conversion Modeling) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณผลลัพธ์ Conversion ของ“กลุ่มที่ไม่กดยินยอม” ได้มากกว่า 70% ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าเป็นปริมาณที่สูงมากสำหรับการวัดผลการตลาด ดังนั้น การใช้ Google Consent Mode กู้คืน Conversion Rate ในส่วนนี้ได้ จึงช่วยให้นักการตลาดมีข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนมากชึ้น
2. ช่วยให้ได้ข้อมูลสำคัญ โดยผู้บริโภคไม่เสียความเป็นส่วนตัว
ถึงแม้ Google Consent Mode จะตั้งใจให้นักการตลาดเห็นผลลัพธ์ Conversion Rate ของลูกค้าอย่างครบถ้วนที่สุด แต่หลักการทำงานก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกค้าแต่อย่างใด เพราะ Google Consent Mode จะเลือกใช้วิธีประมวลผลลัพธ์ Conversion โดยอ้างอิงข้อมูลจาก “กลุ่มที่กดยินยอม” แทน ดังนั้นเครื่องมือนี้จึงรักษาความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าตามข้อบังคับได้อย่างดีเยี่ยม
วิธีใช้ Google Consent Mode
สำหรับวิธีใช้ Google Consent Mode ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เข้าไปในเครื่องมือการตลาดที่รองรับการใช้งานของเครื่องมือชนิดนี้ จากนั้นให้เข้าไปที่ตั้งค่า Consent Setting เพียงเท่านี้ Google Consent Mode ก็แสตนบายด์รอเก็บข้อมูลลูกค้าทุกคนให้แล้ว
Google Consent Mode รองรับเครื่องมืออะไรบ้าง?
โดยส่วนใหญ่แล้ว Google Consent Mode ก็จะรองรับเครื่องมือการใช้งานที่มาจากค่าย Google ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Ads, Google Tag Manager อย่างไรก็ตาม เจ้าเครื่องมือตัวนี้ยังรองรับเครื่องมือจากค่ายอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Conversion Linker, Floodlight พร้อมกันนั้น Google ยังกำลังเร่งพัฒนาเพื่อให้ Google Consent Mode สามารถรองรับเครื่องมือการตลาดที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งเครื่องมืออย่าง Campaign Manager 360, Display & Video 360 รวมไปถึง Search Ads 360 ด้วย
Google Consent Mode จำเป็นแค่ไหนสำหรับการทำการตลาดออนไลน์?
Google Consent Mode ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลอย่างมาก เนื่องจากในเชิงการตลาดนั้น การมียอด Conversion Rate เข้ามาก็นับเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาได้วิธีหนึ่ง และ Google Consent Mode ก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยวัดข้อมูลในส่วนของ Conversion Rate ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญเครื่องมือตัวนี้ยังมีหลักการเก็บข้อมูลของลูกค้าที่สอดคล้องกับข้อบังคับ PDPA ในการไม่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น Google Consent Mode จึงเป็นเครื่องมือวัดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับกฎหมาย PDPA ที่กำลังถูกบังคับใช้อยู่ตอนนี้อย่างแท้จริง
สรุป
ในยุคที่มีการบังคับใช้กฎหมาย PDPA และลูกค้าให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัว นักการตลาดก็ควรวางแผนใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อที่จะได้เข้าใจ Customer Journey ของพวกเขา เพื่อที่สุดท้ายแล้วจะสามารถกำหนดแผนการตลาดให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ต่อไปได้
แต่นอกเหนือจากการใช้ Google Consent Mode ยังมีเครื่องมือการตลาดดี ๆ อีกมากมายที่ช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจ ทาง Primal Digital Agency เอเจนซี่ดิจิทัล บริษัทรับทำการตลาดและบริษัททำ SEO ชั้นนำของเรามาพร้อมกับทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษาแนะนำ หากผู้ประกอบการท่านใดสนใจ สามารถกรอกรายละเอียดเพื่อกดรับแผนการตลาดจากเราได้เลย
Join the discussion - 0 Comment