เข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้บริโภคด้วยการทำ Emotional Marketing
เมื่อพูดถึงการตัดสินใจของผู้บริโภค การเลือกซื้อสินค้าหรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น หากคุณคิดว่าสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ “ความเหมาะสม” ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคาหรือความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตก็คงไม่ผิดนัก แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อสินค้าด้วยเช่นกัน นั่นก็คือเรื่องของ “อารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค” ที่ส่งผลต่อการซื้อสินค้าต่าง ๆ เช่นเดียวกัน
Gerald Zaltman ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกหนังสือที่มีชื่อว่า How Customers Think: Essential Insights into the Mind of the Market ซึ่งเป็นการศึกษาถึงพฤติกรรมและสิ่งต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยพบว่า 95% มาจากการตัดสินใจซื้อจากจิตใต้สำนึกที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้ยังพบว่าการตัดสินใจของมนุษย์ในทุกเรื่องนั้น ไม่สามารถเกิดได้เพียงจากหลักความคิดทางด้านเหตุและผลเพียงอย่างเดียว
Table of Contents
Emotional Marketing คืออะไร
Emotional Marketing คือการทำการตลาดประเภท Content Marketing ที่จะเข้าไปสร้างอารมณ์และความรู้สึกกับผู้บริโภค โดยการทำให้พวกเขาเห็นว่าสินค้าหรือบริการนั้น ๆ สามารถให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าผลลัพธ์ทั่วไปที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความรู้สึกร่วมโดยทำให้ผู้บริโภครู้สึกเชื่อมโยงไปกับเรื่องราวของตัวเอง ผ่านเรื่องราวที่ถูกนำเสนอจากโฆษณานั้น ๆ ซึ่งจะส่งผลถึงความคิด ความเชื่อหรือแม้แต่ประสบการณ์ที่เคยพบเจอ รวมถึงยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย
Emotional Marketing ที่ใช้ “อารมณ์ความรู้สึก”
รูปแบบของการตลาดแบบ Emotional Marketing ที่เราจะเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือ การทำโฆษณาที่เล่นกับอารมณ์ของผู้บริโภคโดยตรง หรือที่เราเรียกกันว่า Emotional Advertising โดยเราขอยกตัวอย่างโฆษณาที่เล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของผู้บริโภคโดยตรงในเรื่องราวต่อไปนี้
1.อารมณ์แห่งความสุข
ความสุขเป็นความรู้สึกที่ใคร ๆ ต่างก็ต้องการ เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าสำหรับมนุษย์และเหนือกว่าความรู้สึกในรูปแบบอื่น ๆ ดังนั้นการนำความสุขมาใช้ในการทำ Emotional Marketing จึงเป็นเรื่องที่เรามักจะเห็นได้บ่อยครั้ง เพราะการใช้ภาพที่แสดงออกถึงความสุขนั้นเป็นการส่งข้อความถึงผู้บริโภคโดยตรงว่า “ถ้าซื้อหรือใช้บริการและสินค้านี้ สิ่งที่คุณจะได้กลับไปก็ความสุขอย่างแน่นอน”
“สร้างสุข ทุกการส่ง” จาก Kerry Express
ในปี 2022 บริษัทขนส่งเอกชนอย่าง Kerry Express ได้ทำโฆษณา “สร้างสุข ทุกการส่ง” โดยมีพรีเซนเตอร์อย่างคุณเวียร์ ศุกลวัฒน์ พูดเปิดโฆษณาว่า “น้องเค้าว่า นี่คืออาชีพที่มีความสุขที่สุด” ก่อนที่เรื่องราวในโฆษณาจะพาเราไปเห็นถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ของผู้นำส่ง ไม่ว่าจะเป็นการเจอหมาวิ่งไล่ รถติด เส้นทางที่ยาวไกล การสัญจรที่ยากลำบาก หรือแม้แต่การไม่ได้รับคำขอบคุณใด ๆ ด้วยท่าทีไม่สนใจโลก ก่อนที่เวียร์จะถามพนักงานคนเดิมกับไปว่า “เหนื่อยล่ะสิ… แล้วยังมีความสุขอยู่ป่ะ” ซึ่งคำตอบที่ได้กลับมาคือ “เราทำให้คนอื่นมีความสุข… เราจะไม่มีความสุขได้ไงพี่” จากนั้นภาพโฆษณาได้นำเสนอภาพใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของผู้ที่กำลังเปิดกล่องพัสดุของตัวเองอยู่
การทำโฆษณานี้ของ Kerry Express ไม่เพียงแต่เป็นการบอกเล่าถึงความสุขของผู้รับปลายทางเท่านั้น แต่ยังเป็นการนำเสนอจุดยืนของแบรนด์ที่เน้นการจัดส่งที่รวดเร็วและบริการจากผู้ส่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและรักในงานบริการอีกด้วย
2.อารมณ์แห่งความเศร้า
คุณเคยร้องไห้เพราะดูโฆษณามาแล้วกี่ครั้ง? ยิ่งในปัจจุบัน โฆษณาที่เล่นกับความรู้สึกเศร้าของผู้บริโภคมีอยู่มากมาย และได้กลายเป็นไวรัลที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก เพราะอารมณ์แห่งความเศร้าเสียใจนั้น สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการนำเสนอด้วยภาพ เนื้อเรื่อง และดนตรีประกอบ ที่สื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน ก็จะยิ่งทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมได้ง่ายขึ้น อีกทั้งโฆษณาที่ใช้ความเศร้าเป็นจุดขายยังสามารถทำให้ผู้ชมได้เข้าถึงกับจุดประสงค์ของแบรนด์ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่รู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดการขายอีกด้วย
“Silence of Love” จากไทยประกันชีวิต
บริษัทไทยประกันชีวิตถือว่าประสบความสำเร็จในการทำโฆษณาประเภทนี้อย่างมาก เพราะไม่ว่าจะทำโฆษณาตัวไหนออกมา ก็กลายเป็นไวรัลแทบจะทุกตัว อย่างในโฆษณาเรื่อง Silence of Love ที่เปิดเรื่องด้วยความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ที่บ่นตัดพ้อกับชีวิตด้วยประโยคที่ว่า “หนูอยากได้พ่อที่ดีกว่านี้… พ่อที่ไม่เป็นใบ้” และด้วยความที่มีพ่อเป็นใบ้ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโฆษณายังสื่อให้เห็นว่า นอกจากเด็กสาวจะโดนเพื่อในโรงเรียนล้อเลียนสารพัดแล้ว ยังมีการใส่ปมปัญหาถึงเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวัง จนทำให้เธอรู้สึกถึงความแปลกแยก ซึ่งสุดท้ายเธอตัดสินใจทำร้ายตัวเองในวันเกิด โดยที่ไม่รู้เลยว่า ในวันนั้นพ่อผู้เป็นใบ้ของเธอ กำลังจัดเตรียมเค้กเพื่อรอลูกสาวของเขาอยู่ที่บ้าน
จุดที่สะเทือนใจผู้ชมที่สุดของโฆษณาชิ้นนี้ก็คือ คือในฉากที่ผู้เป็นพ่อกำลังเธอส่งไปโรงพยาบาลและอ้อนวอนกับหมอผ่านภาษามือว่า “อย่าให้ลูกผมเป็นอะไร ผมมีเงิน ผมมีบ้าน หมอเอาไปเลย ลูกผมต้องไม่ตาย” จากนั้นภาพก็ตัดสลับจากฉากในโรงพยาบาล สู่เหตุการณ์ในอดีตที่พ่อพยายามมอบความรักความเอาใจใส่ให้กับลูกมาตลอด รวมถึงตอนที่ผู้เป็นพ่อกำลังเตรียมขนมเค้กวันเกิดของลูกสาว และตั้งใจจะบอกถึงความรู้สึกภายในใจ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เร้าอารมณ์จึงทำให้หลาย ๆ คนต้องเสียน้ำตาไปตาม ๆ กัน
ส่วนในตอนท้ายของโฆษณาชิ้นนี้ก็สามารถสร้างความประทับใจและเรียกน้ำตาได้ไม่แพ้กัน กับฉากที่ลูกสาวกำลังนอนรักษาตัวและตื่นขึ้นมาพบว่า ผู้เป็นพ่อกำลังนอนให้เลือดเพื่อช่วยชีวิตตนเองอยู่
สำหรับโฆษณาชิ้นนี้จากไทยประกันชีวิต ทางบริษัทไม่ได้ใส่ข้อมูลบริการอะไรไว้แม้แต่น้อย แต่จะมีเพียงโลโก้แบรนด์ในตอนท้ายโฆษณาเท่านั้น ซึ่งการนำเสนอโฆษณาในรูปแบบนี้จะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ อีกทั้งความนิยมที่ได้รับยังคุ้มค่าอีกด้วย รวมถึงยังช่วยสร้างภาพจำให้กับผู้บริโภค ว่าหากนึกถึงบริษัทประกันชีวิต พวกเขาจะต้องนึกถึงไทยประกันชีวิตทันที
3.อารมณ์แห่งความกลัว
ความกลัวนั้นเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ยากที่จะรับมือที่สุดของมนุษย์ ดังนั้นการหยิบความรู้สึกกลัวมาสร้างในโฆษณาจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ถูกนำมาใช้บ่อย ๆ โดยส่วนมากแล้วจะถูกนำมาใช้สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างความตระหนักต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ความกลัวมาทำโฆษณานั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับทุกแบรนด์
“Behind The Leather” จาก Peta
Peta คือองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีจุดประสงค์ในการพิทักษ์ชีวิตและสิทธิของสัตว์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก โดยโฆษณาของ Peta หลายต่อหลายชิ้น มีการนำเสนอความรู้สึกกลัวต่อผู้รับชม ซึ่งหลายตัวก็เรียกได้ว่าน่ากลัวอย่างสุดโต่งมาก ๆ
ในโฆษณา Behind The Leather นี้มีการนำเสนอภาพของผู้คนที่เข้าไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องหนังในร้านที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ก่อนที่พวกเขาจะพบว่าภายในกระเป๋า เสื้อแจ็คเก็ต ถุงมือ หรือรองเท้า มีลักษณะเหมือนภายในร่างกายของสัตว์ เพราะมีทั้งเลือดและเครื่องในต่าง ๆ ที่ยังคงทำงานเต้น ตุบ ๆ อยู่ โดยการนำเสนอของ Peta นั้นแสนจะเรียบง่าย ด้วยการใช้ภาพที่ชวนน่าขนลุกและสร้างความกลัวอย่างชัดเจน ไม่มีการเซนเซอร์ ไม่มีการเบลอใด ๆ เรียกได้ว่าผู้รับชมรับข้อมูลไปอย่างเต็ม ๆ
โฆษณาประเภทนี้เป็นการสร้างความตระหนักรู้โดยการนำความกลัวมาใช้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดภาพจำบางอย่างขึ้น และภาพจำนั้นก็จะส่งผลต่อความรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
นอกจากอารมณ์ความรู้สึก “การสร้างความรู้สึกร่วม” ก็ใช้ได้
อย่างที่เราบอกไปว่านอกจากการทำให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้ว การนำเสนอที่ทำให้ผู้รับชมเกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมและเชื่องโยงกับเรื่องราวนั้น ๆ ก็ยังสามารถนำมาใช้กับการทำ Emotional Marketing และ Emotional Advertising ได้ด้วยเช่นกัน
“Dior For Love” จาก Dior
ในปี 2017 แบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังอย่าง Dior ได้ปล่อยโฆษณาน้ำหอม Miss Dior ออกมา โดยนำเสนอผ่านภาพของนักแสดงสาวอย่าง Natalie Portman ซึ่งในตอนต้นของโฆษณานั้น เราจะเห็นว่านักแสดงสาวบอกกับ (ผู้ที่ได้รับบท) แฟนหนุ่มของเธอว่า “Prove it!” หลังจากที่อีกฝ่ายบอกรักเธอ จากนั้นโฆษณาได้นำเสนอภาพของนักแสดงสาวที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่แสนจะสุดเหวี่ยง ทั้งการกระโดดลงมาจากสะพานสูงเพื่อว่ายน้ำในทะเล การสวมใส่ชุดราตรีสีชมพูวิ่งอย่างปล่อยใจบนหาดทราย การขับรถซิ่งในสนามอย่างรวดเร็ว และภาพที่แสดงออกถึงความรักที่เธอมีอย่างลึกซึ้งให้กับแฟนหนุ่ม พร้อมกับบทเพลง Chandelier ของ Sia ก่อนที่ในตอนจบของโฆษณา นาตาลี พอร์ตแมนจะหันมามองกล้องตรง ๆ แล้วถามออกมาว่า “And you, what would you do for love?”
การทำการตลาดเพื่อโปรโมตน้ำหอม Miss Dior นี้ เป็นการสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้บริโภคผ่าน “เรื่องราวของความรัก” อีกทั้งหลังจากที่ปล่อยโฆษณาตัวนี้ออกไป ทางแบรนด์ยังสร้างแคมเปญ #DiorLoveChain” เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมผ่านการเล่าเรื่องราวความรักของตัวเอง จากการตอบคำถามในตอนท้ายของโฆษณาบนช่องทางโซเชียลมีเดียอีกด้วย
“Wear Helmet – Even those who protect you, protect their heads.” จาก Indian Head Injury Foundation
อีกหนึ่งโฆษณาที่เรียกได้ว่าเป็นไวรัลไปทั่วโลกและยังถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงบ่อย ๆ ก็คือโฆษณารณรงค์ให้สวมใส่หมวกกันน็อคจาก Indian Head Injury Foundation ที่นำความเชื่อมาเป็นตัวเชื่อมความรู้สึกของผู้ชม และเพื่อให้สอดคล้องกับข้อความที่ทางมูลนิธิต้องการจะสื่อ
สำหรับเนื้อหาของโฆษณาชิ้นนี้ จะเป็นภาพของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูต่าง ๆ ทั้งพระวิษณุ พระแม่ทุรคา และพระพิฆเนศ ที่กำลังขึ้นนั่งบนสัตว์พาหนะ หลังจากนั้นทั้งสามองค์ก็ทำการสวมใส่มงกุฏก่อนที่สัตว์พาหนะจะเริ่มเคลื่อนตัวออกไป จากนั้นข้อความในโฆษณาก็ขึ้นว่า “Even those who protect you, protect their heads.” (แม้แต่ผู้ที่ปกป้องคุณ ยังปกป้องศีรษะของตัวเอง” แล้วภาพก็เปลี่ยนมาแสดงรูปหมวกกันน็อคพร้อมข้อความ “Protect yours.” (ปกป้องศีรษะของคุณด้วย)
ทำไมต้องทำ Emotional Marketing?
การทำการตลาดด้วยการใช้ Emotional Marketing นั้นเป็นสิ่งที่อยู่มานานแสนนาน เพราะสามารถสร้างผลตอบรับที่ดีได้เสมอ นอกจากจะสร้างภาพจำของแบรนด์และส่งเสริมยอดขายแล้ว การทำ Emotional Marketing ยังช่วยให้แบรนด์ของคุณเข้าไปอยู่ในหัวใจของผู้บริโภคได้อีกด้วย ซึ่งในขณะเดียวกันคงไม่มีเหตุผลอะไรที่แบรนด์ของคุณจะไม่ทำการตลาดประเภทนี้ เพียงแต่ว่าคุณอาจจะต้องมีวิธีการคิดที่ดีในการนำเสนอ รวมถึงจะต้องวิเคราะห์ด้วยว่า หากเราเล่นกับความรู้สึกของผู้บริโภค เราควรสร้างอารมณ์ร่วมแบบไหนถึงจะส่งผลดีต่อแบรนด์ที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องราวทุกอย่างที่คุณนำเสนอออกมา จะต้องสอดคล้องกับสินค้า บริการ ภาพลักษณ์และคติประจำแบรนด์ของคุณด้วย!
Join the discussion - 0 Comment