Digital Transformation คืออะไร? นักธุรกิจยุคใหม่ต้องอ่าน!

เป็นเวลากว่าศตวรรษมาแล้วที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์ และมีแนวโน้มว่าจะพัฒนาขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะปัจจุบันที่มีความเป็นดิจิทัลสูงมาก กล่าวคือ มีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้แก่เราในการเชื่อมต่อระหว่างโลกจริงและโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต ฯลฯ ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในยุคนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) และนำมาซึ่งการที่โลกหมุนไปไวมากจนหลายคนแทบจะตามไม่ทันเลยทีเดียว แต่ด้วยเหตุนี้เอง ทุกองค์กรจึงต้องรู้จักปรับตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลเพื่อให้มีความทันสมัยมากขึ้น เพราะหากยังใช้การตลาดรูปแบบเดิม ๆ อยู่ก็อาจจะทำให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้ นั่นทำให้คำศัพท์ใหม่อย่างคำว่า “Digital Transformation” ถือกำเนิดขึ้นมา

Digital Transformation มีความจำเป็นอย่างไรสำหรับธุรกิจ

Digital Transformation คืออะไร?

ในยุคที่การตลาดดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งความคาดหวังของลูกค้าก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Digital Transformation คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเอาตัวรอดจากความผันผวนดังกล่าวไปได้ โดยล่าสุด งานวิจัยจาก Gartner ระบุว่า ช่วงที่เกิดโรคโควิด-19 ทำให้หลายองค์กรหันมาสนใจการทำ Digital Transformation มากขึ้นเป็นประวัติการณ์ แตกต่างจากการคาดการณ์ไทม์ไลน์เดิม ซึ่งใช้ระยะเวลาเป็นปีเหลือเพียงหลักสัปดาห์

แล้ว Digital Transformation คืออะไรกันแน่?

Digital Transformation คือ การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับองค์กรหรือธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ กล่าวคือ ตั้งแต่การบริหารไปจนถึงสายการผลิตและการควบคุมคุณภาพ โดยตัวอย่างที่เราอาจจะคุ้นเคยกันดีแต่ไม่รู้ตัว นั่นก็คือการเปลี่ยนจากการทำเอกสารแบบกระดาษมาเป็นไฟล์งานในคอมพิวเตอร์ หรือการส่งอีเมลแทนจดหมายนั่นเอง

แต่แน่นอนว่า ตัวอย่างข้างต้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของความเป็นดิจิทัลเท่านั้น เพราะ Digital Transformation ยังสามารถทำได้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

  • IT Modernization หรือการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการทำงาน เช่น Cloud Computing, Big Data, เทคโนโลยี IoT ฯลฯ เป็นต้น
  • การ Reskill พนักงาน
  • การนำเครื่องมือดิจิทัลมาปรับใช้ เช่น ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้ามาช่วยทำงาน เพื่อให้พนักงานมีเวลาไปโฟกัสกับงานที่เน้นใช้ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้คนทำได้มากขึ้น
  • การใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ในการคิดค้นวิธีแก้ปัญหาของลูกค้า
  • การปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้รองรับความต้องการของลูกค้ายุคใหม่มากขึ้น
  • การปรับสภาพองค์กรให้รองรับการทำงานแบบ Remote-Working
  • เปลี่ยนการคำนวณด้วยการคาดเดา มาเป็นการใช้ข้อมูลในการคาดการณ์
  • เก็บข้อมูลสำคัญให้ปลอดภัยด้วย Cloud Storage
  • รับรู้ข้อมูลทุกอย่างที่ต้องการได้ด้วยระบบดิจิทัล
  • การขายสินค้าหรือบริการบนแพลตฟอร์มออนไลน์

 

ทำไมต้อง Digital Transformation?

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สิ่งที่นักธุรกิจต้องทำไม่ใช่แค่เพียงเปลี่ยนตามเท่านั้น แต่ยังต้องหาโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้าให้ทันและแซงหน้าคู่แข่ง จึงจะสามารถอยู่รอดในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเช่นนี้ได้ เพราะการดำเนินชีวิตในรูปแบบ New Normal ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เว้นแม้แต่การซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งการที่ทุกคนล้วนพกสมาร์ตโฟนไว้กับตัวตลอดเวลา เรียกได้ว่าสำคัญยิ่งกว่ากระเป๋าสตางค์เสียอีกนั้น ทำให้รูปแบบการจ่ายเงินผ่าน E-Banking ก็เป็นหนึ่งในแนวทางการทำ Digital Transformation ที่เหล่านักธุรกิจจะต้องปรับตาม ตลอดจนการเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรืออีคอมเมิร์ซ ฯลฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าให้เข้ากับรูปแบบของโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนไป

เมื่อโลกหมุนไวเช่นนี้แล้ว ก็ส่งผลให้การทำงานที่เชื่องช้า ยืดยาด ขาดปัจจัยเกื้อหนุน กลายเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคนในองค์กรหรือลูกค้าก็เริ่มไม่ต้องการ เพราะนอกจากจะทำให้บริษัทเติบโตช้าแล้ว ยังมีโอกาสอย่างมากที่จะถดถอย ไปจนถึงขาดทุนและปิดตัวลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้วกับหลายธุรกิจที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัลได้ จึงทำให้คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันแซงหน้าไป สิ่งเหล่านี้เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่า “ทำไมต้อง Digital Transformation

 

Digital Transformation มีประโยชน์อย่างไร?

  • สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน เพราะการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลนั้นหมายความว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่เคยถูกบันทึกลงบนกระดาษ จะต้องถูกถ่ายโอนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีคลังเก็บข้อมูลออนไลน์ ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่มีตกหล่น อีกทั้งยังสืบค้นได้ง่ายโดยไม่ต้องนั่งไล่หากระดาษทีละแผ่นเหมือนเมื่อก่อน
  • สามารถจัดการข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น สามารถตรวจสอบได้ว่างานไหนใครเป็นคนแก้ไข และติดต่อบุคคลนั้น ๆ ได้ทันทีหากเกิดปัญหา
  • ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง การทำงานในองค์กรทุกแห่งจะต้องมีการเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับคนหรือเครื่องจักรก็ตาม และ Digital Transformation มีประโยชน์ในการช่วยให้ข้อมูลต่าง ๆ ถูกเก็บโดยอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น อุปกรณ์เซ็นเซอร์ IoT เป็นต้น ทำให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน แม่นยำ และรวดเร็วมากกว่าใช้คนธรรมดาในการดำเนินงาน
  • ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว หนึ่งในจุดเด่นของการทำ Digital Transformation คือการลดงานที่ซ้ำซากของบุคลากร ช่วยให้พนักงานแต่ละฝ่ายมีเวลาไปทำงานที่ตรงกับความสามารถของตนเองมากขึ้น และไม่จำเป็นต้องจ้างคนเพิ่ม ทำให้องค์กรเสียค่าใช้จ่ายโดยรวมน้อยลง และในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นด้วย

 

ปัจจัยของ Digital Transformation คืออะไรบ้าง?

การทำ Digital Transformation นั้นมีปัจจัยสำคัญหลัก ๆ อยู่ 3 อย่าง และทั้งหมดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปในแนวทางเดียวกัน จึงจะทำให้ผลลัพธ์ทางธุรกิจเกิดประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ดังนี้

บุคลากร 

Digital Transformation คือการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากผู้คน เพราะประสบการณ์ของบุคลากรและประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับนั้นมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น ก่อนอื่นเราจึงต้องแจ้งให้บุคลากรของตนเองทราบก่อนว่าในตลาดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และทำไมต้องใช้ Digital Transformation เข้ามาช่วยในการดำเนินงาน ตลอดจน Digital Transformation มีประโยชน์กับสิ่งที่องค์กรของเราทำอยู่อย่างไร เพื่อให้พนักงานเหล่านั้นเข้าใจและยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลง

องค์กร

การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องมีแบบแผนและขั้นตอน กล่าวคือ เราไม่ควรสักแต่จะเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปในทุกกระบวนการแบบมั่วซั่ว แต่ควรสรรหาเทคโนโลยีที่จะช่วยซัปพอร์ตระบบการทำงานได้จริง โดยเชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้าและสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การใช้ข้อมูลในการทำ Personalization หรือการตลาดแบบเฉพาะบุคคล อันจะช่วยให้เราสามารถตอบสนองสิ่งที่ลูกค้ารายบุคคลต้องการได้มากยิ่งขึ้น และบางครั้งนอกจากการเปลี่ยนแปลงภายในแล้ว เรายังต้องมีการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์องค์กรด้วย เพื่อให้การดำเนินงานในภาพรวมเป็นไปอย่างสอดคล้องกันมากที่สุด

เทคโนโลยี 

มาถึงตัวเอกของ Digital Transformation กันบ้าง นั่นก็คือ “เทคโนโลยี” ต้องบอกก่อนว่า ไม่มีองค์กรไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันหมด 100% แม้ว่าโลกจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันก็ตาม กล่าวคือ เราไม่สามารถนำเทคโนโลยีที่เห็นองค์กรอื่นใช้แล้วได้ผลดีมาใช้กับตัวเองได้เสมอไป ทว่าต้องรู้จักประยุกต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจที่ตนเองทำอยู่ด้วย เช่น ธุรกิจใดที่เน้นการบริการลูกค้าก็อาจมีการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยตอบแชตได้ หรือที่เรียกว่า Chatbot เพื่อลดเวลาของพนักงานที่ต้องคอยตอบคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และไปโฟกัสที่เนื้องานส่วนอื่นแทน หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยี ERP (Enterprise Resource Planning) เข้ามาจัดการ ทำให้อุตสาหกรรมธรรมดากลายเป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เป็นต้น

 

สรุป

อย่างที่รู้กันว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทในการควบคุมชีวิตประจำวันของผู้คนเป็นอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่นักธุรกิจจะไม่คำนึงถึงไม่ได้เลยคือการเลือกว่าจะก้าวตามโลกของเราให้ทัน หรือจะยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลัง 

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่า Digital Transformation จะพาองค์กรไปในทิศทางใด เราก็จะสามารถควบคุมการดำเนินธุรกิจไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคง ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ทั้งนี้ หากใครยังไม่มั่นใจในเรื่องของการปรับรูปแบบของธุรกิจตนเองให้มีความเป็นดิจิทัลเพื่อให้รองรับกับโลกสมัยใหม่มากขึ้น สามารถปรึกษาทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดของ Primal ได้เลย