DIGITAL MARKETING คืออะไร? ไม่ใช่นักการตลาดก็เรียนรู้ได้!

แม้ยุคนี้คำว่า Digital Marketing หรือ การตลาดดิจิทัล จะกลายเป็นคำศัพท์คุ้นหูของผู้คน ทว่า หลาย ๆ คนอาจยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว Digital Marketing คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจในยุคนี้!

3 ตัวอย่างหน้าโฆษณาการยิงแอดของ Primal

Table of Contents

Digital Marketing คืออะไร?

Digital Marketing คือ การทำการตลาดบนระบบดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่สามารถสื่อสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ทีวี (หากรับชมผ่านอินเทอร์เน็ต) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือในการทำ Digital Marketing ด้วยกันทั้งสิ้น โดย Digital Marketing สามารถทำผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น  Facebook, Instagram, TikTok, Line, Twitter หรือผ่านระบบ Search Engine (Google, Bing, Yahoo) เพื่อใช้เป็นสื่อกลางส่งข้อความจากนักการตลาดดิจิทัลไปยังผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

Primal Linkedin Home
ความแตกต่างของ ONLINE MARKETING และ DIGITAL MARKETING คืออะไร?

Digital Marketing และ Online Marketing มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

Online Marketing

คือการทำการตลาดที่ใช้ “อินเทอร์เน็ต” เป็นสื่อกลาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ

Digital Marketing

คือภาพรวมของการตลาดทุกรูปแบบที่ไม่ใช่การตลาดดั้งเดิม (Traditional Marketing) ไม่ว่าจะเป็นการตลาดออนไลน์ หรือการตลาดที่ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่มี “อุปกรณ์ดิจิทัล” เป็นสื่อกลาง เช่น ข้อความ SMS บนมือถือ โฆษณาบนโทรทัศน์ หรือจอ LED ฯลฯ

หรือสรุปง่าย ๆ คือ Online Marketing เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Marketing โดย Digital Marketing เป็นการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ Online Marketing คือวิธีการทำการตลาดรูปแบบหนึ่งที่อาศัยอินเทอร์เน็ตในการดำเนินการ

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ONLINE MARKETING VS DIGITAL MARKETING

 

ประโยชน์ของ DIGITAL MARKETING คืออะไร? ทำไมถึงมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจ

1.       จัดสรรงบประมาณได้ ทำให้ใช้งบได้คุ้มค่า

การทำ Digital Marketing ช่วยให้สามารถควบคุมงบประมาณได้มากกว่าการตลาดรูปแบบดั้งเดิม กล่าวคือ นักการตลาดจะรู้ได้ทันทีว่าเงินแต่ละส่วนจะถูกใช้ไปกับอะไร ทำแคมเปญอะไร เจาะกลุ่มเป้าหมายใด ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายแล้ว อาจต่ำกว่าการโปรโมตผ่านบิลบอร์ดใหญ่ ๆ แถมอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์อย่างที่เราคาดหวัง ดังนั้น Digital Marketing จึงเป็นรูปแบบการตลาดที่เหมาะสำหรับทุกธุรกิจ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ กลาง ไปจนถึงขนาดเล็ก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ก็สามารถเจาะไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้

2.       ข้อมูลเยอะ ง่ายต่อการวางแผน

การทำ Digital Marketing บนโลกออนไลน์ถือเป็นข้อได้เปรียบในแง่ของการหาข้อมูลและวิเคราะห์คู่แข่ง เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมือวัดผลและโปรแกรมทำ Digital Marketing จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ออกมามากมาย จึงช่วยให้นักการตลาดไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลด้วยตนเอง แต่ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังทำให้สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างครอบคลุมและสร้างผลลัพธ์สูงสุดอีกด้วย

3.       ง่ายต่อการติดตามพฤติกรรมลูกค้า

การทำ Digital Marketing มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้สามารถเห็นพฤติกรรมของผู้คนที่เข้ามาหาธุรกิจของเราบนออนไลน์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ (เริ่มตั้งแต่เข้ามารู้จักแบรนด์และจบที่ปิดการขาย) เช่น Google Analytics, Google Search Console หรือ Tracking ต่าง ๆ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เข้าใจกระบวนการซื้อของลูกค้าอย่างครอบคลุมและแม่นยำแล้ว ยังช่วยมอบข้อมูลเชิงลึกที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญให้ดีมากขึ้นได้

4.       สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

Digital Marketing สามารถกำหนดแพลตฟอร์มในการสื่อสารตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้จ่ายและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

5.       สื่อสารกับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เนื่องจากการทำ Digital Marketing มักทำผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งมีผู้ใช้ออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แต่จำนวนก็จะมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น หากต้องการเฟ้นหากลุ่มลูกค้าใหม่ควบคู่ไปกับสื่อสารกับลูกค้าเก่า การทำ Digital Marketing ก็จะสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญยังสามารถสื่อสารได้อย่างอิสระ ทั้งในแง่ของกลุ่มลูกค้าหรือสถานที่ด้วย

Google Ads

ช่องทางการทำ DIGITAL MARKETING มีอะไรบ้าง?

Digital Marketing แท้จริงแล้วมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ แต่บทความนี้ขอแนะนำเฉพาะช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและคาดว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ดังนี้

1.       PPC

PPC หรือ Pay-per-click เป็นหนึ่งในวิธีการทำการตลาดดิจิทัลบนช่องทางการค้นหา (Search Engine) กล่าวง่าย ๆ ได้ว่า เป็นการที่เราจ่ายเงินซื้อพื้นที่ให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่บนอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google ส่งผลให้เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา ก็จะเจอเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ เพราะทาง Search Engine จะคัดเลือกเว็บไซต์ที่มีคำว่า Ad ขึ้นมาก่อน โดยจะเรียกเก็บเงินตามจำนวนที่มีคนคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น ๆ

 

PPC คืออะไร

2.       SEO

SEO หรือ Search Engine Optimisation คือเทคนิคช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของผลการค้นหา โดย Google จะกำหนดเกณฑ์มาให้ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่อัลกอริทึมจะนำมาใช้พิจารณาในการจัดอันดับ ซึ่งนักการตลาดจำเป็นต้องปรับแต่งเว็บไซต์ของตนเองให้เข้ากับเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพมากพอสำหรับผู้ใช้งาน และเมื่อเราถูกนำไปจัดอันดับบนหน้าแรกแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งเว็บไซต์อยู่อันดับสูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมากเท่านั้น

ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO และ PPC จะอยู่ตรงที่ค่าใช้จ่าย โดย SEO จะไม่เสียเงินในการซื้อพื้นที่การแสดงผลของเว็บไซต์แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องใช้การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ครอบคลุมระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน นอกจากนี้ นักการตลาดยังควรหมั่นติดตามอัปเดตของ Google Algorithm อยู่เสมอเพื่อปรับแก้คอนเทนต์ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ Google ใช้พิจารณา โดยสำหรับเว็บไซต์ SEO ที่ติดอันดับนั้น จะไม่มีคำว่า Ad ติดอยู่เหมือนกับ PPC จึงเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ใช้บางคนรู้สึกอยากคลิกมากกว่าด้วย

>> อ่านการทำ SEO เพิ่มเติมได้ที่นี่

3.       Content Marketing

Content Marketing คือ “การตลาด + คอนเทนต์” หมายถึงการทำการตลาดที่ใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดย Content นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบทความ แคปชัน ที่เป็นตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถอยู่ในรูปแบบอินโฟกราฟิก รูปภาพ หรือวิดีโอได้ด้วย

>> อ่าน Content Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

Instagram marketing

4.   Email Marketing

Email Marketing คือวิธีที่ธุรกิจสื่อสารกับลูกค้าผ่าน Email ด้วยวัตถุประสงค์ทางการตลาด เช่น นำเสนอสินค้าหรือบริการ โปรโมชัน แคมเปญการตลาดต่าง ๆ ฯลฯ โดย Email Marketing ถือเป็นวิธีการทำ Digital Marketing ที่ได้ผลกับลูกค้าธุรกิจ B2B อย่างมาก เนื่องจากเวลาทำ Email Marketing นักการตลาดจะมีข้อมูลลูกค้าที่เคยอุดหนุนแบรนด์ หรือแม้แต่เคยมีปฏิสัมพันธ์บางอย่าง ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ กลายเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มจะซื้อมากกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น

>> อ่าน Email Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

5. SMS Marketing

SMS Marketing เป็นวิธีการทำ Digital Marketing เพื่อสื่อสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากตอนนี้โทรศัพท์นับเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ผู้ใช้ปัจจุบันทุกคนต้องมี  

SMS Marketing ทำได้โดยการส่ง SMS หรือยิงโฆษณาในแอปพลิเคชันของแบรนด์ โดยอาจมีการทำลิงก์แนบไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ของแบรนด์เพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ลูกค้าเจอคอนเทนต์อื่น ๆ ที่สามารถช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์อีกด้วย 

>>  อ่าน SMS Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่

วิธีทำ sms marketing

กลยุทธ์ทำ Digital Marketing อย่างไรให้ชนะคู่แข่ง?

เมื่อเห็นแล้วว่า Digital Marketing เป็นวิธีการตลาดที่ช่วยสร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้จริง แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราควรวางแผนกลยุทธ์ Digital Marketing ของเราอย่างไร ถึงจะปังเหนือคู่แข่งได้ ถ้าอยากรู้ เรามีเทคนิคดี ๆ มาแนะนำดังนี้

1.   กำหนดตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจน

สิ่งสำคัญก่อนทำ Digital Marketing คือการกำหนดตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนก่อนว่า แบรนด์ของคุณคือใคร มี DNA อย่างไร มีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร อะไรที่สามารถยกขึ้นมาเป็นจุดขายและสามารถทำให้ลูกค้าจดจำได้มากกว่าคู่แข่ง โดยอาจเริ่มจากการวิเคราะห์ SWOT Analysis ก็จะช่วยให้การตลาดได้ผลลัพธ์ดีขึ้น

2.   กำหนดตัวตนลูกค้าให้ชัดเจน

แบรนด์จำเป็นต้องรู้ตัวตนลูกค้าอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นใคร มีเป้าหมาย ปัญหา หรือสนใจด้านใด รวมถึงมีพฤติกรรมและมีช่องทางการรับสารอย่างไร โดยสามารถสร้างตัวตนเหล่านี้ได้จากการทำ Customer Persona หรือกระบวนการว่าด้วยการสร้างตัวตนลูกค้าที่คาดว่าจะมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ

3.   ทำความรู้จักคู่แข่ง

การทำ Digital Marketing ให้สำเร็จ การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นเรื่องสำคัญมาก! โดนเมื่อเรารู้จุดแข็งจุดอ่อนของคู่แข่ง ก็จะช่วยให้สามารถวางแผนทำการตลาดให้ดีกว่าพวกเขาได้

4.   กำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจน

แบรนด์ควรกำหนดอย่างชัดเจนว่าจุดหมายปลายทางที่ธุรกิจต้องการคืออะไร เช่น การเป็น Top of Mind, การทำให้เป็นที่รู้จัก (Brand Awareness) หรือการทำให้เกิดการบอกต่อหรือกลับมาซื้อซ้ำ เพื่อที่จะได้รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้วิธีรับมือคู่แข่ง รวมถึงสามารถสร้างสรรค์ตัวตนและคอนเทนต์ได้เหมาะสมกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น

5.   เลือกช่องทางทำการตลาดให้เหมาะสม

Digital Marketing มีให้เลือกทำมากมายหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น PPC, SEO, Website, บล็อก, โซเชียลมีเดีย สิ่งสำคัญก็คือนักการตลาดจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์มักใช้สื่อหรือช่องทางใด ก็จะทำให้สามารถเลือกช่องทางได้เหมาะสม และไม่เสียงบประมาณไปอย่างเปล่าประโยชน์

6.   คอนเทนต์คือเคล็ดลับ

การทำคอนเทนต์ถือเป็นคีย์หลักของ Digital Marketing เลยก็ว่าได้ โดยหากนักการตลาดต้องการทำ Digital Marketing ให้ได้ผลลัพธ์เหนือคู่แข่ง นอกจากการโฟกัสไปที่คุณภาพเป็นหลักแล้ว ยังจำเป็นต้องทำเนื้อหาให้น่าสนใจด้วยเช่นเดียวกัน ที่สำคัญต้องไม่ลืมกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดว่าเราต้องการทำคอนเทนต์เพื่ออะไร เพื่อโปรโมตสินค้า ให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก เพื่อขายของ ฯลฯ เพราะเมื่อเป้าหมายชัดก็จะสามารถวางกลยุทธ์ได้ชัดเจน ทำให้สามารถส่งสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

7.       ความเร็วสำคัญไม่แพ้คุณภาพเนื้อหา

การทำการตลาดในยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงผู้คนทุกกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว การเกาะติดเทรนด์และไวต่อการนำเสนอเป็นเรื่องที่สำคัญมาก! เพราะจะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ที่มีการนำเสนอเรื่องที่กำลังเป็นกระแส มักจะได้ยอดการมีส่วนร่วมก่อนและมากกว่า ดังนั้น นอกจากนักการตลาดจะต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ Evergreen Content ที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านในระยะยาวแล้ว ก็ควรทำคอนเทนต์แบบอัปเดต Real-Time เพื่อดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายด้วยเช่นกัน แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมอ้างอิงแหล่งที่มาที่มีความน่าเชื่อถือและพิสูจน์ได้ด้วย 

8.       มีแผนสำรองเสมอ

การเอาชนะคู่แข่งในสนาม Digital Marketing นอกจากแผนการตลาดที่รัดกุม การหาแผนสำรองหากเกิดเหตุไม่คาดคิดก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น นักการตลาดจึงควรเตรียมแผนรับมือกับทุกความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น จัดสรรงบประมาณสำรองเอาไว้ในวันที่ยอดขายไม่เป็นใจ อีกทั้งยังควรประเมินคู่แข่งและคาดการณ์สถานการณ์ทั่วไปตลอดเวลา ก็จะช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

9.       ตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ เสมอ

และหากทำ Digital Marketing จนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เสต็ปต่อไปคุณต้องไม่ลืมตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ มากไปกว่าเดิม เพราะนอกจากจะเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ขยายตัวได้รวดเร็วมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียนรู้เส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คู่แข่งไล่ตามเราทันได้ยากขึ้นด้วย

สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ DIGITAL MARKETING

หลายคนอาจเข้าใจว่า Digital Marketing คือการทำการตลาดที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุน หรือไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณก็สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะแม้หลายแพลตฟอร์มจะเปิดให้ใช้บริการฟรี แต่เมื่อต้องการทำโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ก็ต้องใช้เงินในการซื้อระยะเวลาและพื้นที่สำหรับโฆษณาด้วยทั้งนั้น ยิ่งหากเราต้องการทำการตลาดแบบจริงจัง การลงทุนก็แทบไม่ต่างอะไรจากการตลาดแบบออฟไลน์เลย

 

Digital Marketing ดีกว่าการตลาด Traditional Marketing จริงไหม?

Digital Marketing และ Traditional Marketing อาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจนว่าแบบไหนดีกว่า หรือควรทำมากกว่า เนื่องจากกระบวนการทำและเป้าหมายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจว่าเลือกใช้แบบไหนจึงจะเหมาะสม ดังนั้น หากอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จก็ควรจะรู้ก่อนว่าสิ่งที่ทำเหมาะกับการตลาดแบบไหน และลูกค้าของเราเป็นใคร ก็จะช่วยให้เลือกวิธีทำการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขี้น

Marketing Technology เทคโนโลยีสำคัญของการทำ Digital Marketing ในยุคนี้!

Marketing Technology หรือ Martech คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Marketing Automation เข้ามามีส่วนช่วยในการทำการตลาด ทั้งจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ติดตามข้อมูลของคู่แข่ง แม้กระทั่งช่วยปิดการขาย

ทั้งนี้ Martech ถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับการทำ Digital Marketing ในยุคสมัยนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจาก AI มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ดังนั้น หากนักการตลาดสามารถนำเทคฯ Martech มาปรับใช้ ก็จะช่วยให้การทำ Digital Marketing มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้

>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Marketing Technology

 

Facebook Ads คืออะไร

สรุป

เมื่อเข้าใจแล้วว่า Digital Marketing คืออะไร มีไว้เพื่ออะไร และเราสามารถใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือการวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด   

ดังนั้น หากผู้ประกอบการท่านใดยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มทำ Digital Marketing อย่างไร ถึงจะไม่ให้เสียงบไปอย่างเปล่าประโยชน์ การปรึกษาเอเจนซีการตลาดดิจิทัลที่มีความเชี่ยวชาญอย่าง Primal Digital Agency ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเรามีทีมงานด้านดิจิทัลโดยตรงที่จะช่วยดูแลในทุกขั้นตอน พร้อมรางวัลการันตีมากมาย ถ้าพร้อมแล้วก็กรอกรายละเอียดเพื่อปรึกษาเราตอนนี้!