DIGITAL MARKETING คืออะไร? ไม่ใช่นักการตลาดก็เรียนรู้ได้!
แม้ยุคนี้คำว่า Digital Marketing หรือ การตลาดดิจิทัล จะกลายเป็นคำศัพท์คุ้นหูของผู้คน ทว่า หลาย ๆ คนอาจยังไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว Digital Marketing คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรในการทำธุรกิจในยุคนี้!
Table of Contents
Digital Marketing คืออะไร?
Digital Marketing คือ การทำการตลาดบนระบบดิจิทัลหรือช่องทางออนไลน์ หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่สามารถสื่อสารผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ทีวี (หากรับชมผ่านอินเทอร์เน็ต) ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องมือในการทำ Digital Marketing ด้วยกันทั้งสิ้น โดย Digital Marketing สามารถทำผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook, Instagram, TikTok, Line, Twitter หรือผ่านระบบ Search Engine (Google, Bing, Yahoo) เพื่อใช้เป็นสื่อกลางส่งข้อความจากนักการตลาดดิจิทัลไปยังผู้บริโภคหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ความแตกต่างของ ONLINE MARKETING และ DIGITAL MARKETING คืออะไร?
Digital Marketing และ Online Marketing มีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็แตกต่างกันด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
Online Marketing
คือการทำการตลาดที่ใช้ “อินเทอร์เน็ต” เป็นสื่อกลาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล อีคอมเมิร์ซ ฯลฯ
Digital Marketing
คือภาพรวมของการตลาดทุกรูปแบบที่ไม่ใช่การตลาดดั้งเดิม (Traditional Marketing) ไม่ว่าจะเป็นการตลาดออนไลน์ หรือการตลาดที่ไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่มี “อุปกรณ์ดิจิทัล” เป็นสื่อกลาง เช่น ข้อความ SMS บนมือถือ โฆษณาบนโทรทัศน์ หรือจอ LED ฯลฯ
หรือสรุปง่าย ๆ คือ Online Marketing เป็นส่วนหนึ่งของ Digital Marketing โดย Digital Marketing เป็นการทำการตลาดผ่านสื่อดิจิทัลหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ Online Marketing คือวิธีการทำการตลาดรูปแบบหนึ่งที่อาศัยอินเทอร์เน็ตในการดำเนินการ
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ONLINE MARKETING VS DIGITAL MARKETING
ประโยชน์ของ DIGITAL MARKETING คืออะไร? ทำไมถึงมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจ
1. จัดสรรงบประมาณได้ ทำให้ใช้งบได้คุ้มค่า
การทำ Digital Marketing ช่วยให้สามารถควบคุมงบประมาณได้มากกว่าการตลาดรูปแบบดั้งเดิม กล่าวคือ นักการตลาดจะรู้ได้ทันทีว่าเงินแต่ละส่วนจะถูกใช้ไปกับอะไร ทำแคมเปญอะไร เจาะกลุ่มเป้าหมายใด ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายแล้ว อาจต่ำกว่าการโปรโมตผ่านบิลบอร์ดใหญ่ ๆ แถมอาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์อย่างที่เราคาดหวัง ดังนั้น Digital Marketing จึงเป็นรูปแบบการตลาดที่เหมาะสำหรับทุกธุรกิจ ตั้งแต่ขนาดใหญ่ กลาง ไปจนถึงขนาดเล็ก เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล ก็สามารถเจาะไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้
2. ข้อมูลเยอะ ง่ายต่อการวางแผน
การทำ Digital Marketing บนโลกออนไลน์ถือเป็นข้อได้เปรียบในแง่ของการหาข้อมูลและวิเคราะห์คู่แข่ง เนื่องจากปัจจุบันมีเครื่องมือวัดผลและโปรแกรมทำ Digital Marketing จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ออกมามากมาย จึงช่วยให้นักการตลาดไม่จำเป็นต้องหาข้อมูลด้วยตนเอง แต่ก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังทำให้สามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างครอบคลุมและสร้างผลลัพธ์สูงสุดอีกด้วย
3. ง่ายต่อการติดตามพฤติกรรมลูกค้า
การทำ Digital Marketing มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยให้สามารถเห็นพฤติกรรมของผู้คนที่เข้ามาหาธุรกิจของเราบนออนไลน์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ (เริ่มตั้งแต่เข้ามารู้จักแบรนด์และจบที่ปิดการขาย) เช่น Google Analytics, Google Search Console หรือ Tracking ต่าง ๆ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ นอกจากจะทำให้เข้าใจกระบวนการซื้อของลูกค้าอย่างครอบคลุมและแม่นยำแล้ว ยังช่วยมอบข้อมูลเชิงลึกที่เราสามารถนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญให้ดีมากขึ้นได้
4. สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
Digital Marketing สามารถกำหนดแพลตฟอร์มในการสื่อสารตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้จ่ายและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต
5. สื่อสารกับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เนื่องจากการทำ Digital Marketing มักทำผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งมีผู้ใช้ออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แต่จำนวนก็จะมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น หากต้องการเฟ้นหากลุ่มลูกค้าใหม่ควบคู่ไปกับสื่อสารกับลูกค้าเก่า การทำ Digital Marketing ก็จะสามารถทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญยังสามารถสื่อสารได้อย่างอิสระ ทั้งในแง่ของกลุ่มลูกค้าหรือสถานที่ด้วย
ช่องทางการทำ DIGITAL MARKETING มีอะไรบ้าง?
Digital Marketing แท้จริงแล้วมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบ แต่บทความนี้ขอแนะนำเฉพาะช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและคาดว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ดังนี้
1. PPC
PPC หรือ Pay-per-click เป็นหนึ่งในวิธีการทำการตลาดดิจิทัลบนช่องทางการค้นหา (Search Engine) กล่าวง่าย ๆ ได้ว่า เป็นการที่เราจ่ายเงินซื้อพื้นที่ให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่บนอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Google ส่งผลให้เมื่อผู้ใช้งานค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเรา ก็จะเจอเว็บไซต์ของเราเป็นอันดับแรก ๆ เพราะทาง Search Engine จะคัดเลือกเว็บไซต์ที่มีคำว่า Ad ขึ้นมาก่อน โดยจะเรียกเก็บเงินตามจำนวนที่มีคนคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์นั้น ๆ
2. SEO
SEO หรือ Search Engine Optimisation คือเทคนิคช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของเราขึ้นไปอยู่ในอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของผลการค้นหา โดย Google จะกำหนดเกณฑ์มาให้ว่ามีปัจจัยใดบ้างที่อัลกอริทึมจะนำมาใช้พิจารณาในการจัดอันดับ ซึ่งนักการตลาดจำเป็นต้องปรับแต่งเว็บไซต์ของตนเองให้เข้ากับเกณฑ์เหล่านั้น เพื่อให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเรามีคุณภาพมากพอสำหรับผู้ใช้งาน และเมื่อเราถูกนำไปจัดอันดับบนหน้าแรกแล้ว สิ่งที่จะตามมาก็คือจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) ที่เพิ่มมากขึ้น เพราะยิ่งเว็บไซต์อยู่อันดับสูงมากเท่าไร ก็จะยิ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมากเท่านั้น
ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างการทำ SEO และ PPC จะอยู่ตรงที่ค่าใช้จ่าย โดย SEO จะไม่เสียเงินในการซื้อพื้นที่การแสดงผลของเว็บไซต์แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องใช้การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ ครอบคลุมระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน นอกจากนี้ นักการตลาดยังควรหมั่นติดตามอัปเดตของ Google Algorithm อยู่เสมอเพื่อปรับแก้คอนเทนต์ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ Google ใช้พิจารณา โดยสำหรับเว็บไซต์ SEO ที่ติดอันดับนั้น จะไม่มีคำว่า Ad ติดอยู่เหมือนกับ PPC จึงเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ใช้บางคนรู้สึกอยากคลิกมากกว่าด้วย
>> อ่านการทำ SEO เพิ่มเติมได้ที่นี่
3. Content Marketing
Content Marketing คือ “การตลาด + คอนเทนต์” หมายถึงการทำการตลาดที่ใช้คอนเทนต์เป็นเครื่องมือในการสื่อสารถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดย Content นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบทความ แคปชัน ที่เป็นตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถอยู่ในรูปแบบอินโฟกราฟิก รูปภาพ หรือวิดีโอได้ด้วย
>> อ่าน Content Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่
4. Email Marketing
Email Marketing คือวิธีที่ธุรกิจสื่อสารกับลูกค้าผ่าน Email ด้วยวัตถุประสงค์ทางการตลาด เช่น นำเสนอสินค้าหรือบริการ โปรโมชัน แคมเปญการตลาดต่าง ๆ ฯลฯ โดย Email Marketing ถือเป็นวิธีการทำ Digital Marketing ที่ได้ผลกับลูกค้าธุรกิจ B2B อย่างมาก เนื่องจากเวลาทำ Email Marketing นักการตลาดจะมีข้อมูลลูกค้าที่เคยอุดหนุนแบรนด์ หรือแม้แต่เคยมีปฏิสัมพันธ์บางอย่าง ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ กลายเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มจะซื้อมากกว่าลูกค้ากลุ่มอื่น
>> อ่าน Email Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่
5. SMS Marketing
SMS Marketing เป็นวิธีการทำ Digital Marketing เพื่อสื่อสารไปยังลูกค้ากลุ่มเป้าหมายผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากตอนนี้โทรศัพท์นับเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ผู้ใช้ปัจจุบันทุกคนต้องมี
SMS Marketing ทำได้โดยการส่ง SMS หรือยิงโฆษณาในแอปพลิเคชันของแบรนด์ โดยอาจมีการทำลิงก์แนบไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ของแบรนด์เพิ่มเติมด้วย เพื่อให้ลูกค้าเจอคอนเทนต์อื่น ๆ ที่สามารถช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์อีกด้วย
>> อ่าน SMS Marketing เพิ่มเติมได้ที่นี่
กลยุทธ์ทำ Digital Marketing อย่างไรให้ชนะคู่แข่ง?
เมื่อเห็นแล้วว่า Digital Marketing เป็นวิธีการตลาดที่ช่วยสร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้จริง แต่หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราควรวางแผนกลยุทธ์ Digital Marketing ของเราอย่างไร ถึงจะปังเหนือคู่แข่งได้ ถ้าอยากรู้ เรามีเทคนิคดี ๆ มาแนะนำดังนี้
1. กำหนดตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจน
สิ่งสำคัญก่อนทำ Digital Marketing คือการกำหนดตัวตนของแบรนด์ให้ชัดเจนก่อนว่า แบรนด์ของคุณคือใคร มี DNA อย่างไร มีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร อะไรที่สามารถยกขึ้นมาเป็นจุดขายและสามารถทำให้ลูกค้าจดจำได้มากกว่าคู่แข่ง โดยอาจเริ่มจากการวิเคราะห์ SWOT Analysis ก็จะช่วยให้การตลาดได้ผลลัพธ์ดีขึ้น
2. กำหนดตัวตนลูกค้าให้ชัดเจน
แบรนด์จำเป็นต้องรู้ตัวตนลูกค้าอย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นใคร มีเป้าหมาย ปัญหา หรือสนใจด้านใด รวมถึงมีพฤติกรรมและมีช่องทางการรับสารอย่างไร โดยสามารถสร้างตัวตนเหล่านี้ได้จากการทำ Customer Persona หรือกระบวนการว่าด้วยการสร้างตัวตนลูกค้าที่คาดว่าจะมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณ
3. ทำความรู้จักคู่แข่ง
การทำ Digital Marketing ให้สำเร็จ การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นเรื่องสำคัญมาก! โดนเมื่อเรารู้จุดแข็งจุดอ่อนของคู่แข่ง ก็จะช่วยให้สามารถวางแผนทำการตลาดให้ดีกว่าพวกเขาได้
4. กำหนดเป้าหมายหลักให้ชัดเจน
แบรนด์ควรกำหนดอย่างชัดเจนว่าจุดหมายปลายทางที่ธุรกิจต้องการคืออะไร เช่น การเป็น Top of Mind, การทำให้เป็นที่รู้จัก (Brand Awareness) หรือการทำให้เกิดการบอกต่อหรือกลับมาซื้อซ้ำ เพื่อที่จะได้รู้จักกลุ่มเป้าหมาย รู้วิธีรับมือคู่แข่ง รวมถึงสามารถสร้างสรรค์ตัวตนและคอนเทนต์ได้เหมาะสมกับธุรกิจมากยิ่งขึ้น
5. เลือกช่องทางทำการตลาดให้เหมาะสม
Digital Marketing มีให้เลือกทำมากมายหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น PPC, SEO, Website, บล็อก, โซเชียลมีเดีย สิ่งสำคัญก็คือนักการตลาดจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายของแบรนด์มักใช้สื่อหรือช่องทางใด ก็จะทำให้สามารถเลือกช่องทางได้เหมาะสม และไม่เสียงบประมาณไปอย่างเปล่าประโยชน์
6. คอนเทนต์คือเคล็ดลับ
การทำคอนเทนต์ถือเป็นคีย์หลักของ Digital Marketing เลยก็ว่าได้ โดยหากนักการตลาดต้องการทำ Digital Marketing ให้ได้ผลลัพธ์เหนือคู่แข่ง นอกจากการโฟกัสไปที่คุณภาพเป็นหลักแล้ว ยังจำเป็นต้องทำเนื้อหาให้น่าสนใจด้วยเช่นเดียวกัน ที่สำคัญต้องไม่ลืมกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดว่าเราต้องการทำคอนเทนต์เพื่ออะไร เพื่อโปรโมตสินค้า ให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก เพื่อขายของ ฯลฯ เพราะเมื่อเป้าหมายชัดก็จะสามารถวางกลยุทธ์ได้ชัดเจน ทำให้สามารถส่งสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
7. ความเร็วสำคัญไม่แพ้คุณภาพเนื้อหา
การทำการตลาดในยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงผู้คนทุกกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว การเกาะติดเทรนด์และไวต่อการนำเสนอเป็นเรื่องที่สำคัญมาก! เพราะจะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ที่มีการนำเสนอเรื่องที่กำลังเป็นกระแส มักจะได้ยอดการมีส่วนร่วมก่อนและมากกว่า ดังนั้น นอกจากนักการตลาดจะต้องสร้างสรรค์คอนเทนต์ Evergreen Content ที่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านในระยะยาวแล้ว ก็ควรทำคอนเทนต์แบบอัปเดต Real-Time เพื่อดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายด้วยเช่นกัน แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมอ้างอิงแหล่งที่มาที่มีความน่าเชื่อถือและพิสูจน์ได้ด้วย
8. มีแผนสำรองเสมอ
การเอาชนะคู่แข่งในสนาม Digital Marketing นอกจากแผนการตลาดที่รัดกุม การหาแผนสำรองหากเกิดเหตุไม่คาดคิดก็สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้น นักการตลาดจึงควรเตรียมแผนรับมือกับทุกความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น จัดสรรงบประมาณสำรองเอาไว้ในวันที่ยอดขายไม่เป็นใจ อีกทั้งยังควรประเมินคู่แข่งและคาดการณ์สถานการณ์ทั่วไปตลอดเวลา ก็จะช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
9. ตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ เสมอ
และหากทำ Digital Marketing จนได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เสต็ปต่อไปคุณต้องไม่ลืมตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ มากไปกว่าเดิม เพราะนอกจากจะเป็นการต่อยอดธุรกิจให้ขยายตัวได้รวดเร็วมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเรียนรู้เส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คู่แข่งไล่ตามเราทันได้ยากขึ้นด้วย
สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ DIGITAL MARKETING
หลายคนอาจเข้าใจว่า Digital Marketing คือการทำการตลาดที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุน หรือไม่จำเป็นต้องมีงบประมาณก็สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะแม้หลายแพลตฟอร์มจะเปิดให้ใช้บริการฟรี แต่เมื่อต้องการทำโฆษณาเพื่อโปรโมตสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ก็ต้องใช้เงินในการซื้อระยะเวลาและพื้นที่สำหรับโฆษณาด้วยทั้งนั้น ยิ่งหากเราต้องการทำการตลาดแบบจริงจัง การลงทุนก็แทบไม่ต่างอะไรจากการตลาดแบบออฟไลน์เลย
Digital Marketing ดีกว่าการตลาด Traditional Marketing จริงไหม?
Digital Marketing และ Traditional Marketing อาจไม่สามารถเปรียบเทียบได้ชัดเจนว่าแบบไหนดีกว่า หรือควรทำมากกว่า เนื่องจากกระบวนการทำและเป้าหมายแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจว่าเลือกใช้แบบไหนจึงจะเหมาะสม ดังนั้น หากอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จก็ควรจะรู้ก่อนว่าสิ่งที่ทำเหมาะกับการตลาดแบบไหน และลูกค้าของเราเป็นใคร ก็จะช่วยให้เลือกวิธีทำการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขี้น
Marketing Technology เทคโนโลยีสำคัญของการทำ Digital Marketing ในยุคนี้!
Marketing Technology หรือ Martech คือการใช้เทคโนโลยี AI และ Marketing Automation เข้ามามีส่วนช่วยในการทำการตลาด ทั้งจัดเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ติดตามข้อมูลของคู่แข่ง แม้กระทั่งช่วยปิดการขาย
ทั้งนี้ Martech ถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญสำหรับการทำ Digital Marketing ในยุคสมัยนี้เลยก็ว่าได้ เนื่องจาก AI มีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ดังนั้น หากนักการตลาดสามารถนำเทคฯ Martech มาปรับใช้ ก็จะช่วยให้การทำ Digital Marketing มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมได้
>> อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Marketing Technology
สรุป
เมื่อเข้าใจแล้วว่า Digital Marketing คืออะไร มีไว้เพื่ออะไร และเราสามารถใช้ประโยชน์อย่างไรได้บ้าง สิ่งที่ต้องทำต่อก็คือการวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ดังนั้น หากผู้ประกอบการท่านใดยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มทำ Digital Marketing อย่างไร ถึงจะไม่ให้เสียงบไปอย่างเปล่าประโยชน์ การปรึกษาเอเจนซีการตลาดดิจิทัลที่มีความเชี่ยวชาญอย่าง Primal Digital Agency ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เพราะเรามีทีมงานด้านดิจิทัลโดยตรงที่จะช่วยดูแลในทุกขั้นตอน พร้อมรางวัลการันตีมากมาย ถ้าพร้อมแล้วก็กรอกรายละเอียดเพื่อปรึกษาเราตอนนี้!
Join the discussion - 0 Comment