ย่อ URL ให้สั้นลงทำอย่างไร? รวม 7 เว็บฯ ย่อลิงก์ฟรีที่ควรรู้
หากเปรียบว่าเว็บไซต์เป็น “บ้าน” ลิงก์ก็เสมือนเป็น “ที่อยู่” ที่ระบุว่าเว็บไซต์ของเราอยู่ที่ไหน และจะเข้ามาเยี่ยมชมได้อย่างไร ซึ่งถ้าลิงก์ที่อยู่ของเรายาวเหยียด อ่านไม่เป็นภาษา ก็จะทำให้เนื้อหาดูสะดุด ไม่ลื่นไหล และไม่สวยงามเท่าที่ควร ส่งผลให้ผู้พบเห็นรู้สึกไม่อยากคลิกเข้ามา แล้วเราก็จะเสียโอกาสในการที่จะได้ยอดคนเข้าเว็บไซต์ (Traffic) เพิ่มไป ดังนั้น บทความนี้จึงจะมาเสนอวิธีย่อ URL ให้สั้นลง เพื่อความกระชับ เข้าใจง่าย และทำให้เนื้อหาของเราดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น
Table of Contents
ทำไมเราจึงควรย่อ URL?
การย่อ URL หรือการย่อลิงก์ เป็นการทำให้ที่อยู่ของเว็บไซต์หรือเว็บเพจสั้นและกระชับลง เนื่องจากในบางครั้งที่เราไปโพสต์ในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เช่น Facebook หรือ Twitter ที่มีการจำกัดความยาวของเนื้อหาเพียง 140 ตัวอักษร การใส่ลิงก์แบบเต็มก็จะทำให้กินเนื้อที่มากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น บางทีอาจไม่ใช่แค่เรื่องของความยาว แต่ภาษาของลิงก์ก็ไม่สามารถอ่านได้ด้วย อย่างที่หลาย ๆ คนชอบเรียกกันว่าเป็น “ภาษาต่างดาว” นั่นเอง ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลต่อผู้ใช้งานโดยตรง ทำให้เกิด UX (User Experience) ที่ไม่ดี เพราะผู้ใช้งานบางรายอาจคิดว่ามันคือลิงก์สแปมหรือไวรัส ทำให้การสื่อสารผิดเพี้ยน และดูไม่เป็นมืออาชีพ
นอกจากนี้ การทำลิงก์ให้สั้นยังมีประโยชน์ในแง่ที่เราสามารถเปลี่ยนชื่อ หรือ “Rename” URL ที่อ่านไม่รู้เรื่องให้เป็นภาษาที่อ่านออก เข้าใจง่าย สามารถสื่อสารถึงเนื้อหาในเว็บไซต์ได้อย่างตรงจุดอีกด้วย
ข้อควรคำนึงในการย่อ URL
สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงในการย่อลิงก์ คือการเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม ทำให้ลิงก์ของเราดูมีความน่าเชื่อถือ และปลอดภัยจากสแปม โดยสามารถทำได้ดังนี้
- เลือกเว็บฯ ย่อลิงก์ที่น่าเชื่อถือและเปิดมาเป็นระยะเวลานาน เช่น bitly, tinyurl (ใช้ฟรี)
- ไม่ควรทำชื่อเว็บฯ ย่อลิงก์โดยการเขียนสคริปต์ด้วยตนเอง
- ไม่ควรย่อลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่มีระบบความปลอดภัย เพราะหากบางเว็บฯ ปิดตัวไป ข้อมูลลิงก์ที่ย่อก็จะหายไปด้วย
รวม 7 เว็บฯ ย่อลิงก์ที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง?
bitly.com
แน่นอนว่าเครื่องมือย่อลิงก์ที่มีชื่อเสียงและมาแรงที่สุดในขณะนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก bitly.com เพราะนอกจากจะฟรีแล้วยังใช้งานสะดวก เพียงแค่เรานำลิงก์ที่ต้องการย่อไปวาง จากนั้น เครื่องมือก็จะแสดงลิงก์แบบย่อขึ้นมาให้ทันที โดยเราสามารถคัดลอกไปใช้งานได้เลย
จุดเด่นของ bitly นั้นเป็นเรื่องของการติดตาม (Tracking) ดูค่าการคลิกต่าง ๆ แต่หากใช้เป็นแบบฟรีก็อาจไม่ละเอียดสักเท่าไรนัก ในกรณีที่ต้องการเจาะลึกข้อมูล แนะนำว่าให้ใช้บริการแบบจ่ายเงินก็จะครบวงจรกว่า
tinyurl
หนึ่งในเว็บไซต์ผู้ให้บริการย่อลิงก์ที่มีระบบความปลอดภัยรับรองอย่างเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์หรือทำการตลาดแบบตัวแทน (Affiliate Marketing) โดยเราสามารถเปลี่ยนชื่อลิงก์ให้เป็นชื่อสินค้าหรือแบรนด์ของเราได้ทันที
นอกจากนี้ tinyurl ยังมีระบบการติดตามลิงก์ที่เราสร้าง ซึ่งเราสามารถรู้ได้ว่าใครเป็นผู้คลิกลิงก์ของเรา และกำลังใช้อุปกรณ์ใด ทำให้สามารถประเมินและวิเคราะห์การเข้าใช้งานบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้แบบไม่มีวันหมดอายุ
bit.do
bit.do เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ย่อลิงก์ที่ใช้งานง่ายและมีความยืดหยุ่นมาก แต่ต้องสมัครก่อนเข้าใช้งาน จุดเด่นคือสามารถสร้างออกมาได้ทั้งลิงก์แบบย่อและแบบคิวอาร์โคดภายในครั้งเดียว เหมาะสำหรับร้านค้าที่ต้องการนำไปแชร์ให้ลูกค้าในโซเชียลมีเดีย โดยเราสามารถเปลี่ยนชื่อต่อท้ายให้สั้นได้ตามที่ต้องการ
cutt.ly
เว็บไซต์ย่อลิงก์ฟรี ไม่มีวันหมดอายุที่มีฟีเจอร์ครบครัน โดยเราสามารถตั้งชื่อและสร้างคิวอาร์โคดจากลิงก์ย่อได้ ตลอดจนการติดตามข้อมูลจำนวนคลิก และแหล่งที่มาของคลิก เช่น โซเชียลมีเดีย หรือเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เป็นต้น แต่ก่อนใช้งาน เราจำเป็นต้องสร้างบัญชีผู้ใช้ (Sign up) หรือลงชื่อเข้าใช้ (Log in) ก่อน เพราะโฮมเพจของ cutt.ly ไม่มีช่องไว้ให้แปลงลิงก์เหมือนหน้าเว็บไซต์อื่น ๆ
shorturl.at
ต้องบอกว่าเป็นเว็บฯ ย่อลิงก์ที่ใช้งานง่ายมาก สำหรับ shorturl.at เพราะเมื่อเราเปิดมาหน้าโฮมเพจก็สามารถทำลิงก์ให้สั้นลงได้อย่างรวดเร็วทันใจ รวมถึงสามารถติดตามได้ว่ามีคนมาคลิกลิงก์มากน้อยแค่ไหนตลอดช่วงเวลาที่ใช้งาน
shorte.st
เว็บฯ ย่อลิงก์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการหารายได้ทางออนไลน์ โดยเครื่องมือนี้จะแตกต่างจากตัวอื่น ๆ ด้านบนเล็กน้อย เพราะทุกครั้งที่เราใช้บริการ shorte.st และเกิดการคลิกหรือการมีส่วนร่วม (Engagement) จากผู้ใช้งานคนอื่น ๆ บนลิงก์ดังกล่าว เราจะได้รับส่วนแบ่งรายได้จากเว็บไซต์ทันที หรือที่เรียกว่า “ค่าบอกต่อ” (Affiliate) นั่นเอง
นอกจากนี้ shorte.st ยังมีการระบุอีกว่า ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการใช้งานเว็บไซต์นี้คือ
- การขยายโอกาสในการสร้างรายได้ เพราะทาง shorte.st จะมีเครื่องมือช่วยเหลือ เช่น สคริปต์ที่พร้อมปลั๊กอินในเว็บไซต์เรา
- การให้โฆษณาระดับพรีเมียม
- การสร้างเลย์เอาต์โฆษณาที่น่าดึงดูด เพื่อเพิ่มยอด CPM (Click Per Impression)
- การติดต่อช่วยเหลือกับทางทีมได้ตลอดทุกที่ทุกเวลา
- การติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์
Rebrandly
Rebrandly ถือเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำที่ให้บริการย่อลิงก์สำหรับแบรนด์ เพราะนอกจากจะเป็นเว็บไซต์สำหรับแปลง URL แล้ว Rebrandly ยังมีฟีเจอร์อีกมากมายให้เลือกใช้ ทั้งแบบฟรีและแบบมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาแบรนด์เพื่อขยายฐานลูกค้า หรือการร่วมมือกันระหว่างทีม เป็นต้น
การย่อลิงก์จะส่งผลเสียต่อ SEO ไหม?
เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยนึกถึงมุมนี้มาก่อน เพราะความจริงแล้วจุดประสงค์ของการแปลง URL ก็คือแค่ต้องการทำลิงก์ให้สั้นลง กระชับ และน่าคลิกมากขึ้น แต่กระนั้น คำถามนี้ก็เป็นที่ฮือฮาในฝั่งต่างประเทศ ว่าการย่อลิงก์จะส่งผลเสียต่อการทำ SEO หรือไม่
มาถึงตรงนี้ บางคนก็อาจจะคิดว่า “การย่อลิงก์ก็เหมือนกับการทำ Backlink ไม่ใช่เหรอ?” ขอตอบเลยว่า “ไม่เหมือนกัน” เพราะถึงแม้จะเป็นการอ้างอิงมาถึงเว็บไซต์เรา แต่ลิงก์แบบย่อนั้นจะถูกส่งไปที่เว็บไซต์ผู้ให้บริการก่อนจะ Redirect มาที่โดเมนเรา ดังนั้น การย่อลิงก์ก็จะให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกับ Backlink ที่เป็นการส่งตรงมายังเว็บไซต์เราอย่างแน่นอน
ดังนั้น หากถามว่าการทำลิงก์ให้สั้นจะส่งผลเสียต่อ SEO ไหม ก็อาจพูดได้ว่าไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เพียงแค่อาจจะไม่ได้มีประสิทธิภาพมากเท่ากับการทำ Backlink แบบปกติเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล เพราะ Google ยังใช้ปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายข้อในการพิจารณาจัดอันดับ และที่สำคัญ การย่อ URL ยังช่วยให้ลิงก์ที่อยู่รวมกับเนื้อหาในบทความของเราดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สบายตาขึ้น ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้เข้าชมเว็บเพจได้อย่างแน่นอน
สรุป
ชื่อ URL ที่ใครหลายคนอาจมองว่าไม่สำคัญ แต่แท้จริงแล้วมีผลต่อความรู้สึกอยากคลิกของผู้ใช้งานมากทีเดียว ทั้งยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ดูสมบูรณ์แบบและมีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น โดยเว็บไซต์ย่อลิงก์ที่ได้ยกตัวอย่างไว้ในบทความนี้ล้วนมีฟีเจอร์การใช้งานที่แตกต่างกันตามความต้องการของผู้ใช้ นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่กำลังทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย และต้องการทำลิงก์ให้สั้นลงเพื่อสร้างความกระชับนั่นเอง
Join the discussion - 0 Comment