5 ปัญหาการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการต้องเจอ พร้อมวิธีแก้ไข

เมื่อเราอยู่ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตประจำวัน การซื้อ-ขายของออนไลน์ก็ดูเหมือนจะง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ความจริงแล้ว หากมองฝั่งของคนขาย การจะไปสู่ขั้นที่เรียกว่าประสบความสำเร็จได้นั้นไม่ง่ายเลย เพราะยิ่งธุรกิจหันมาทำการตลาดออนไลน์เยอะเท่าไร ก็ยิ่งหมายความว่ามีคู่แข่งเยอะเท่านั้น ทุกแบรนด์จึงต้องพยายามหากลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำให้ตัวเองโดดเด่นเหนือแบรนด์อื่น ๆ และเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคให้ได้ ซึ่งระหว่างทางก็มีอุปสรรคเกิดขึ้นไม่น้อยเลย

สำหรับใครที่เพิ่งเคยทำธุรกิจ หรือยังไม่มีความรู้ด้านธุรกิจมากพอที่จะต่อกรกับคู่แข่งที่เป็นแบรนด์ใหญ่ ๆ ก็คงจะเข้าใจดีว่าในช่วงแรก ๆ ของการขายของออนไลน์นั้น ต้องมีการลองผิดลองถูกอยู่เสมอ เพื่อหาสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้กับธุรกิจของตนเอง แผนการตลาดบางอย่างที่คิดว่าเวิร์กแล้ว พอลองทำดูก็อาจจะไม่ได้เวิร์กอย่างที่คิด กว่าจะไปถึงจุดที่ลงตัวแล้วก็ใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว

แต่ไม่ต้องกังวลไป ! เพราะบทความนี้ได้รวบรวม 5 ปัญหาการขายของออนไลน์ที่พ่อค้า-แม่ค้ามือใหม่ต้องเจอเอาไว้แล้ว พร้อมบอกเทคนิคการแก้ไขด้วย รับรองว่าหากเจอปัญหาเหล่านี้ จะไม่ตกใจ และพร้อมรับมือได้อย่างผู้เชี่ยวชาญแน่นอน

อุปสรรคในการขายของออนไลน์

5 ปัญหาการตลาดออนไลน์ที่ผู้ประกอบการต้องเจอ มีอะไรบ้าง

ไม่ได้วิเคราะห์ตลาดอย่างถี่ถ้วน

ปัญหาแรกที่หลาย ๆ คนต้องเคยเจอก็คือ การไม่ได้วิเคราะห์ตลาดมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะอาจมองว่าการขายของออนไลน์สามารถทำได้ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็ทำได้ แค่โพสต์ภาพ เขียนแค็ปชัน ติดแฮชแทกก็พอแล้ว แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะในการขายสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่างหนึ่งนั้น จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ตลาดก่อนเป็นอันดับแรก โดย 5 คำถามเบสิกทั่วไปที่ควรตั้งกับตัวเองคือ ขายอะไร ขายใคร ขายที่ไหน ขายทำไม และจะขายอย่างไร 

เมื่อหาคำตอบได้แล้ว เราก็จะได้ตกตะกอนมากขึ้นว่าธุรกิจจะเป็นไปในทิศทางใด มีกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร แต่ผู้ประกอบการหลายคนมักมองข้ามส่วนนี้ แล้วเลือกดำเนินการตามใจฉันเลย ซึ่งการทำแบบนั้นจะส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะต้องยอมรับว่าในตลาดออนไลน์ไม่ได้มีแค่เราคนเดียว แต่ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการคล้าย ๆ เรา และหากเขาวางแผนการตลาดมาอย่างรัดกุม จุดนี้ก็อาจทำให้เราเป็นฝ่ายแพ้ได้

ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาการตลาดออนไลน์ประการแรก คือ ต้องวิเคราะห์ตลาดมาให้ดีเสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำ ควรมีแผนการดำเนินงานและสร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน วิเคราะห์ว่าธุรกิจของตนเองมีจุดแข็ง-จุดอ่อนตรงไหนบ้าง มีอะไรที่เรามีแล้วคู่แข่งไม่มี หรือมีอะไรที่คู่แข่งทำแล้วเรายังไม่ทำ จากนั้นก็นำมาปรับใช้กับแผนการตลาดของแบรนด์ 

นอกจากนี้ ยังต้องมีการศึกษาพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายของตนเองโดยละเอียดด้วย เช่น เพศ อายุ การศึกษา ฐานเงินเดือน ฯลฯ เพื่อทำผลิตภัณฑ์ออกมาให้เหมาะกับคุณสมบัติของกลุ่มคนเหล่านั้น และมองหาช่องทางที่พวกเขามักอยู่บ่อย ๆ เช่น หากเป็นวัยรุ่น ก็อาจใช้ Instagram เป็นหลัก หรือถ้าเป็นวัยกลางคน ก็ใช้ Facebook เป็นหลักมากกว่า และที่สำคัญ วิธีการที่สื่อสารออกไปจะต้องตรงตามช่วงวัยของกลุ่มเป้าหมายด้วย หากมีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น แต่การสื่อสารมีความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไปก็ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ ควรดูกรณีศึกษาของแบรนด์คู่แข่งที่ประสบความสำเร็จว่าเขามีแนวทางอย่างไร เพื่อให้การทำการตลาดออนไลน์ของเราออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด

ไม่มีเวลาอัปเดตหน้าเว็บไซต์

ปกติแล้ว เวลาขายของหน้าร้าน หากสินค้าหมดก็แค่หยิบมาเติมสต็อกเรื่อย ๆ แต่การขายของออนไลน์ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะต้องมีการอัปเดตแบบเรียลไทม์ ยิ่งขายหลายแพลตฟอร์มมากเท่าไรก็ยิ่งเพิ่มภาระให้ต้องคอยเช็กตลอด ว่าตอนนี้สต็อกของแต่ละช่องทางเหลือตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ แต่ทั้งนี้ การจัดการบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น E-Commerce หรือ Social Commerce ต่าง ๆ ระบบอาจลดจำนวนให้โดยอัตโนมัติ แต่กับเว็บไซต์บางประเภทก็ไม่อัปเดตให้ ทำให้เมื่อลูกค้ากดสั่งซื้อและชำระเงินแล้ว หากสินค้าหมดหรือไม่พอตามจำนวนที่ลูกค้ากดสั่งก็อาจเกิดปัญหาตามมา แล้วยิ่งเว็บไซต์เป็นช่องทางที่ลูกค้าไม่ได้ติดต่อกับทางแบรนด์โดยตรงเหมือนบนโซเชียลมีเดีย ยิ่งทำให้การแก้ไขวุ่นวายเข้าไปใหญ่

วิธีแก้ปัญหาการขายของออนไลน์ข้อนี้ก็ง่าย ๆ เพียงแค่เลือกใช้แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ที่มีการอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ กล่าวคือ เมื่อเราเพิ่มจำนวนสต็อกสินค้าเรียบร้อย ระบบก็จะลดจำนวนให้ตามยอดการสั่งซื้อ ช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าทราบได้ทันทีว่าสินค้าหมดหรือยัง หรือเหลือจำนวนเท่าไร

หรือหากไม่มั่นใจเรื่องการทำเว็บไซต์ สามารถติดต่อ Primal Digital Agency เพื่อขอคำแนะนำได้เลย !

ทำคอนเทนต์ไม่เป็น

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการตลาดออนไลน์ สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือการทำคอนเทนต์ เพราะคอนเทนต์คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ของเรา หากไม่มีความรู้ในส่วนนี้ ธุรกิจก็จะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน อาจฟังดูโหดร้าย แต่สำหรับการตลาดยุคใหม่ที่อะไร ๆ ก็กลายเป็นคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียไปเสียหมด นี่คือความจริงเสียยิ่งกว่าจริง ต้องอย่าลืมว่ามีคู่แข่งอีกนับร้อยที่กำลังพยายามทำคอนเทนต์เพื่อแก่งแย่งพื้นที่การถูกมองเห็นบนโลกโซเชียลฯ เต็มไปหมด

เมื่อเราทำคอนเทนต์ไม่เป็นแล้ว สิ่งที่ตามมา คือ เราจะไม่สามารถวางแผนการขายของออนไลน์ได้เลย เพราะเราไม่มีอะไรจะไปดึงดูดให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหันมาสนใจ หรือหากมี แต่ถ้าไม่สร้างสรรค์หรือแปลกใหม่พอ ก็ไม่อาจไวรัลจนทำให้แบรนด์ของตนเองเป็นที่รู้จักได้ 

ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาทางการตลาดข้อนี้ อาจเริ่มง่าย ๆ ด้วยการวางจุดยืน (Position) ของแบรนด์ก่อน ว่าอยากให้คอนเทนต์ที่ออกมาเป็นไปในทิศทางใด “สนุกสนาน” “เป็นทางการ” “เป็นกันเอง” “เรียบหรู” ฯลฯ โดยรูปแบบของคอนเทนต์จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น หากเป็นธุรกิจขายเฟอร์นิเจอร์นำเข้าราคาหลักแสน หมายความว่ากลุ่มเป้าหมายต้องเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงมาก ๆ คอนเทนต์ที่ทำจึงควรมีความเรียบหรู ทันสมัย เป็นต้น

จากนั้น ให้ดูว่ากระแสสังคมในช่วงนั้น ๆ มีอะไรบ้าง ผู้ใช้งานกำลังสนใจหรือพูดถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ และเราสามารถนำมาเป็นไอเดียเพื่อปรับใช้กับธุรกิจของตนเองได้หรือไม่ หากทำได้ โอกาสที่เราจะได้รับความสนใจก็มีมากขึ้น แต่ต้องระวังเรื่องกระแสที่เป็นประเด็นอ่อนไหว เพราะถ้าเราทำคอนเทนต์ในเรื่องที่ไม่ควรนำมาเล่น ก็จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปตลอดกาลได้ 

อีกวิธีที่นิยมทำกันมากที่สุดหากมีงบประมาณพอ ก็คือการจ้าง Content Creator มาช่วยดูแลในส่วนนี้ให้ หรือการมองหาเอเจนซีดี ๆ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แนะนำ เพราะจะได้ไม่ต้องจ้างพนักงานเป็นรายตำแหน่ง แต่จะได้รับบริการด้านการตลาดในทุกส่วนอย่างครอบคลุมไปเลย

ปัญหาการประกอบธุรกิจออนไลน์

ไม่มีบริการหลังการขาย

อีกหนึ่งปัญหาการตลาดออนไลน์ยอดฮิตของเหล่าผู้ประกอบการ คือ การคิดว่าการขายของออนไลน์ แค่ลูกค้ากดสั่งซื้อ โอนเงิน แล้วเราส่งสินค้าให้ถึงมือ ก็เป็นอันจบ จึงละเลยในส่วนของบริการหลังการขายไป แต่ความจริงแล้ว บริการหลังการขายเป็นส่วนหนึ่งใน Customer Journey ที่เราต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้การขายสินค้าและบริการเป็นไปอย่างราบรื่น

เมื่อเราวิเคราะห์ Customer Journey แล้ว จะพบว่ามีผู้บริโภคจำนวนมากที่มองหาร้านค้าที่มีบริการหลังการขายตั้งแต่ก่อนตัดสินใจซื้อ เช่น การรับประกัน การรับคืนหรือเปลี่ยนสินค้า โดยเราต้องเข้าใจก่อนว่า การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์นั้นไม่เหมือนการซื้อสินค้าที่หน้าร้าน เพราะลูกค้าจะไม่ได้เห็นของจริง ๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งมีโอกาสที่ไซซ์จะไม่พอดีสูง และการผิดพลาดในลักษณะนี้ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น บริการหลังการขายจึงจะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้ที่มาซื้อสินค้าของเราเกิดความอุ่นใจ มีความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากบริการหลังการขายในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้ เช่น ทักไปสอบถามลูกค้าว่าได้รับสินค้าแล้วหรือยัง หรือมอบโปรโมชันดี ๆ สำหรับการซื้อครั้งถัดไป การทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการบอกต่อเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างยิ่งขึ้นด้วย

ทำ SEO และ PPC ไม่เป็น

ข้อสุดท้ายนี้สำคัญมาก ทั้งยังเป็นปัญหาการขายของออนไลน์ที่หลายคนกำลังประสบอยู่ตอนนี้ด้วย นั่นก็คือ การทำ SEO และ PPC ไม่เป็น บางคนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร จะช่วยธุรกิจของตนเองได้อย่างไร

กล่าวโดยสรุป SEO (Search Engine Optimisation) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ที่อัลกอริทึมของ Google กำหนด เพื่อผลักดันให้เว็บไซต์ขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ บนหน้าแรกของ Search Engine และผู้ใช้งานจะได้ค้นหาเราเจอง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือแก่แบรนด์ด้วย โดยสามารถทำได้เองฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย 

ส่วน PPC (Pay Per Click) คือ การจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าแรกของ Google หรือเว็บไซต์ที่มีคำว่า Ad ด้านหน้าหัวข้อ (Title) ที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั่นเอง โดยจะคิดค่าใช้จ่ายต่อจำนวนครั้งที่มีผู้ใช้งานคลิกเข้าเว็บไซต์จากหน้าการค้นหา

ทั้ง SEO และ PPC ถือเป็นแนวทางที่นักการตลาดทุกคนต้องไม่พลาด เพราะเป็นตัวช่วยที่จะทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักเราผ่านช่องทางการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น แต่เมื่อทุกธุรกิจต่างก็อยากขึ้นเป็นอันดับแรก หลายคนคงเกิดคำถามว่าแล้วแบบนี้ จะมีอะไรมารับประกันได้ว่าเราจะได้ตำแหน่งนั้น

คำตอบคือ หากเป็น PPC ผู้ที่จ่ายเงินมากที่สุดก็จะได้เป็นอันดับแรก แต่หากเป็น SEO ก็ไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้ 100% เพราะต้องอาศัยเวลาและความชำนาญล้วน ๆ ดังนั้น SEO จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครทำแล้วจะประสบความสำเร็จก็ได้ เพราะมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการทำให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพตรงตามเงื่อนไขที่ Google ต้องการมากที่สุด

วิธีแก้ไขปัญหาทางการตลาดนี้ คือ การจ้างเอเจนซีที่มีความเชี่ยวชาญในการทำ SEO และมีประสบการณ์ในการทำให้แบรนด์ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งบนหน้าแรกมาก่อน เพราะที่เอเจนซีจะประกอบไปด้วยนักการตลาดมืออาชีพหลายแขนง ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของลูกค้าไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ แม้จะมีค่าใช้จ่าย แต่รับรองว่าผลลัพธ์ที่ได้เกินคุ้มอย่างแน่นอน

 

สรุป

เป็นเรื่องธรรมดาที่การทำธุรกิจออนไลน์จะไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ในช่วงแรก เพราะทุกคนล้วนต้องมีการลองผิดลองถูกเพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเองเสมอ แต่ถ้าหากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน รับประกันได้ว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จ ติดต่อ Primal Digital Agency บริษัทรับทำ SEO และการตลาดครบวงจรชั้นนำของไทยได้เลยวันนี้ เราพร้อมออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้คุณได้ก้าวไปไกลกว่าจุดมุ่งหมายที่คาดหวังไว้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน