10 ความแตกต่าง การตลาดดั้งเดิม VS การตลาดยุคดิจิทัล

แชร์บทความนี้

สำหรับการทำธุรกิจยุคใหม่ งานด้านการตลาดไม่ใช่เพียงแค่องค์ประกอบทั่วไปเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนหัวใจสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคต ซึ่งวิธีการทำการตลาดก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่หากพูดถึง 2 วิธีที่น่าสนใจที่สุด คงจะหนีไม่พ้นการตลาดแบบดั้งเดิม (Traditional Marketing) และการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) ซึ่งแต่ละแบบก็มีจุดเด่นและเสน่ห์ที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ

นักการตลาดกำลังเรียนรู้ว่า Digital marketing กับ Traditional marketing ต่างกันอย่างไร

การตลาดแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก คือ การตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดดิจิทัล ซึ่งแต่ละรูปแบบแตกต่างกันในหลายมิติ

Digital Marketing กับ Traditional Marketing ต่างกันอย่างไร 

ความแตกต่าง Traditional Marketing Digital Marketing
ช่องทางการสื่อสาร ใช้ช่องทางออฟไลน์ เช่น

  • ทีวี
  • วิทยุ
  • นิตยสาร
  • หนังสือพิมพ์
  • ป้ายโฆษณา
ใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น

  • เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน
  • โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม
  • อีเมลและการตลาดออนไลน์
ต้นทุน
  • ต้องลงทุนสูงตั้งแต่เริ่มต้น
  • แก้ไขหรือยกเลิกยาก
  • ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูง
  • เริ่มต้นด้วยงบน้อยได้
  • ปรับเปลี่ยนงบได้ตลอด
  • ควบคุมค่าใช้จ่ายต่อหัวได้
การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
  • เข้าถึงคนจำนวนมากในวงกว้าง
  • เลือกกลุ่มเป้าหมายได้จำกัด
  • ปรับเปลี่ยนข้อความยาก
  • เจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ
  • เลือกอายุ เพศ ความสนใจได้
  • ปรับข้อความตามกลุ่มเป้าหมายได้
การโต้ตอบกับลูกค้า
  • สื่อสารทางเดียว
  • ไม่มีการตอบโต้ทันที
  • วัดผลตอบรับยาก
  • พูดคุยโต้ตอบได้ทันที
  • สร้างการมีส่วนร่วมได้ง่าย
  • เห็นผลตอบรับชัดเจน
การวัดผล
  • วัดผลได้ยากและใช้เวลานาน
  • ไม่รู้ว่าใครเห็นโฆษณาบ้าง
  • เชื่อมโยงกับยอดขายยาก
  • ดูผลได้ทันทีแบบเรียลไทม์
  • รู้ว่าใครเห็นและคลิกโฆษณา
  • วัดผลตอบแทนการลงทุนได้ชัด
การเข้าถึงตลาด
  • จำกัดอยู่ในพื้นที่ที่สื่อเข้าถึง
  • การขยายตลาดมีค่าใช้จ่ายสูง
  • เหมาะกับตลาดท้องถิ่น
  • เข้าถึงได้ทั่วโลกทันที
  • ขยายตลาดด้วยต้นทุนต่ำ
  • ปรับภาษาและวัฒนธรรมได้
การปรับเปลี่ยน
  • แก้ไขเนื้อหาได้ยาก
  • ต้องวางแผนล่วงหน้านาน
  • ยกเลิกกลางคันมีค่าใช้จ่าย
  • แก้ไขเนื้อหาได้ทันที
  • ปรับแผนตามผลตอบรับได้เลย
  • หยุดหรือเปลี่ยนแผนได้ตลอด
รูปแบบเนื้อหา
  • มีรูปแบบตายตัว
  • เปลี่ยนแปลงยาก
  • ข้อจำกัดด้านพื้นที่และเวลา
  • สร้างสรรค์ได้หลากหลาย
  • ผสมผสานสื่อได้ทุกรูปแบบ
  • ไม่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่
การรับฟีดแบ็ก
  • ต้องทำแบบสอบถาม
  • ใช้เวลารวบรวมนาน
  • ได้ข้อมูลจำกัด
  • รับฟีดแบ็กได้ทันที
  • ดูความคิดเห็นได้ตลอด
  • ได้ข้อมูลเชิงลึกมากกว่า
อายุการใช้งาน
  • มีระยะเวลาจำกัด
  • หมดอายุตามสื่อที่ใช้
  • ต้องทำใหม่เรื่อย ๆ
  • อยู่บนโลกออนไลน์ได้นาน
  • แชร์ต่อได้ไม่จำกัด
  • นำกลับมาใช้ใหม่ได้

10 ความแตกต่าง การตลาดดั้งเดิม VS การตลาดยุคดิจิทัล

การตลาดแบบดั้งเดิมและการตลาดดิจิทัล แตกต่างกันในหลายมิติ ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ 10 ข้อหลัก ๆ ดังนี้

วิธีการสื่อสารถึงลูกค้า 

อย่างแรก เรามาดูที่ช่องทางการสื่อสารกันก่อน ซึ่งทั่วไปแล้ว การตลาดดิจิทัลจะใช้พลังของโลกออนไลน์ผ่านทุกแพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล และแอปพลิเคชันมือถือ เพื่อเข้าถึงคนที่อยู่กับหน้าจอสมาร์ตโฟนในแต่ละช่วงเวลา ในขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิมยังคงใช้สื่อออฟไลน์อย่างทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมถึงป้ายโฆษณา ซึ่งยังได้ผลดีกับการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

ค่าใช้จ่ายในการทำการตลาด 

นอกจากเรื่องช่องทางแล้ว อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องของงบประมาณ ซึ่งการทำการตลาดดิจิทัลจะมีความยืดหยุ่นสูง เพราะเริ่มต้นได้ด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมากและค่อย ๆ ปรับเพิ่มตามผลตอบรับของแคมเปญได้ตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลมีเดียที่สามารถทดลองโฆษณาด้วยงบน้อย ๆ ก่อนได้ ซึ่งต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมที่มักต้องลงทุนสูงตั้งแต่แรก โดยเฉพาะการซื้อสื่อในช่วงไพรม์ไทม์หรือในพื้นที่ยอดนิยม

การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อมีช่องทางและงบประมาณแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อมาคือประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี การตลาดดิจิทัลสามารถระบุกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำโดยใช้ข้อมูล ทั้งด้านประชากรศาสตร์ ความสนใจ ตำแหน่งที่อยู่ และพฤติกรรมออนไลน์ ทำให้สามารถส่งสารที่เฉพาะเจาะจงและตรงใจผู้รับ ในทางตรงกันข้าม การตลาดแบบดั้งเดิมมักต้องสื่อสารแบบครอบคลุมกลุ่มผู้ชมวงกว้าง ซึ่งอาจทำให้ข้อความที่ต้องการจะสื่อไม่ตรงใจทุกคนได้

การโต้ตอบกับลูกค้า 

หากพูดถึงการเข้าถึงแคมเปญการตลาด สิ่งที่ตามมาคือการโต้ตอบกับลูกค้า โดยเฉพาะในยุคที่การสื่อสารสองทางมีความสำคัญ การตลาดดิจิทัลมีข้อได้เปรียบที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันทีผ่านการแสดงความคิดเห็น การกดไลก์ และการแชร์เนื้อหา ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า แตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว แม้จะมีช่องทางรับฟีดแบ็กแต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันที

การวัดผลแคมเปญ 

หลังจากสื่อสารไปแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการวัดผล การตลาดดิจิทัลมีเครื่องมือวิเคราะห์ที่ละเอียดและแม่นยำ สามารถดูผลลัพธ์ได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคลิก (Click) อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion) หรือแหล่งที่มาของทราฟฟิก (Traffic) ทำให้สามารถปรับแต่งแคมเปญได้ทันที ในขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิมจะวัดผลได้เพียงคร่าว ๆ เพราะยากที่จะระบุได้ว่าการซื้อของลูกค้าเกิดจากการเห็นโฆษณาใดโดยตรง

พื้นที่การเข้าถึง 

นอกจากสามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของการตลาดดิจิทัล คือในแง่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพราะก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ ทำให้ผู้คนทั่วโลกที่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึงแคมเปญได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งเนื้อหาให้เข้ากับภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้น ๆ แต่ในทางกลับกัน การตลาดแบบดั้งเดิมมักถูกจำกัดด้วยพื้นที่ เช่น รัศมีการออกอากาศของวิทยุ หรือพื้นที่จัดส่งหนังสือพิมพ์

การปรับเปลี่ยนแคมเปญ 

เมื่อพูดถึงความคล่องตัว การตลาดดิจิทัลสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขข้อความ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย หรือปรับงบประมาณ ทั้งหมดทำได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมที่การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งต้องใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายสูง

รูปแบบการนำเสนอ 

อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญคือ การตลาดดิจิทัลสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่วิดีโอ อินโฟกราฟิก พอดแคสต์ ไปจนถึงโฆษณาแบบโต้ตอบและประสบการณ์เสมือนจริง ซึ่งช่วยดึงดูดความสนใจได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการตลาดแบบดั้งเดิมที่มักติดกรอบของสื่อ ที่อาจทำอะไรแหวกแนวได้ไม่มากนัก

การรับฟีดแบ็กจากลูกค้า 

เมื่อพูดถึงการรับฟีดแบ็กลูกค้า การตลาดดิจิทัลมีข้อได้เปรียบด้านการรวบรวมและวิเคราะห์ความคิดเห็นได้ทันทีผ่านรีวิว คอมเมนต์ และแบบสอบถามออนไลน์ ทำให้แบรนด์ตอบสนองและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ส่วนการตลาดแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาเก็บและประมวลผลข้อมูล ซึ่งอาจทำให้ปรับปรุงได้ช้า หรือแก้ปัญหาได้ในวันที่สายไปแล้ว

อายุของเนื้อหาโฆษณา

หากพูดถึงความคุ้มค่าระยะยาว การตลาดดิจิทัลมีข้อดีที่เนื้อหาที่ทำออกไปจะอยู่บนโลกออนไลน์ได้อย่างไม่มีกำหนด ผู้คนยังสามารถเข้าถึงและแชร์ต่อไปได้เรื่อย ๆ ขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัดด้านระยะเวลา เพราะเมื่อจบแคมเปญหรือหมดช่วงเวลาแสดงโฆษณา แคมเปญก็จะจบลงทันที ซึ่งหากต้องการทำการตลาดอีก ก็ต้องลงทุนใหม่ ทำให้อาจเสียงบประมาณรอบสองได้

การตลาดดั้งเดิม VS การตลาดยุคดิจิทัล แบบไหนดีกว่า

จากความแตกต่างทั้ง 10 ข้อที่ได้กล่าวไป คงบอกไม่ได้ว่ารูปแบบไหนที่ดีที่สุด แต่ควรเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์และเป้าหมายของแบรนด์ โดยการตลาดดิจิทัลจะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นด้วยงบน้อย อยากทดลองและปรับแต่งแคมเปญได้เรื่อย ๆ รวมถึงต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ ในขณะที่การตลาดแบบดั้งเดิมจะเหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง สร้างความน่าเชื่อถือระดับมวลชน หรือต้องการเข้าถึงกลุ่มคนที่อาจไม่ได้ใช้งานออนไลน์มากนัก

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง แบรนด์ส่วนใหญ่มักผสมผสานทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ข้อดีของทั้งสองรูปแบบ และช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ครอบคลุมที่สุด ทั้งนี้ สัดส่วนการใช้งานก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และงบประมาณที่มี ซึ่งแต่ละแบรนด์ต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และเป้าหมายของตนเองด้วย

ทีมการตลาดกำลังประชุมกันว่าแคมเปญใหม่จะเลือกใช้อันไหนดีระหว่างการตลาดดั้งเดิม VS การตลาดยุคดิจิทัล

การตลาดแบบดั้งเดิมคือการสื่อสารแบรนด์ผ่านสื่อออฟไลน์ ในขณะที่การตลาดดิจิทัลจะทำผ่านช่องทางออนไลน์ที่ผู้คนในยุคนี้ใช้งานในชีวิตประจำวัน

ที่ Primal เราคือ Digital Agency ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การตลาดที่พร้อมช่วยคุณวางแผนและผสมผสานการตลาดทั้งสองรูปแบบให้ลงตัวที่สุด กรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อปรึกษากับทีมกลยุทธ์ของเราได้เลยวันนี้ เรายินดีช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตด้วยการตลาดที่ตรงจุดและคุ้มค่าที่สุด

แชร์บทความนี้