9 เทคนิคเพิ่ม Conversion Rate เห็นผลจริงสำหรับธุรกิจออนไลน์
การทำการตลาดออนไลน์ในยุคนี้ไม่ใช่แค่เพียงการสร้างยอดวิว หรือดึงทราฟฟิกให้เข้าเว็บไซต์เท่านั้น แต่เป้าหมายสำคัญคือการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Conversion Rate เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์
ทั้งนี้ การเพิ่ม Conversion Rate ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเทคนิคที่เรารวบรวมมาให้ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การปรับปรุงเว็บไซต์ การพัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ ตลอดจนการออกแบบ CTA ที่โดนใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
Table of Contents
เข้าใจ Conversion Rate ให้ถ่องแท้
ก่อนที่จะไปถึงเทคนิคต่าง ๆ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Conversion Rate คืออะไร
หากอธิบายง่าย ๆ Conversion Rate ก็คืออัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้ที่ทำตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ (เช่น การซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือกรอกฟอร์ม) หารด้วยจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด
ทั้งนี้ ในแต่ละอุตสาหกรรมก็มีเป้าหมายและอัตราการเติบโตของ Conversion Rate ที่แตกต่างกันไป เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่โดยทั่วไปมักจะมี Conversion Rate อยู่ที่ 2-3% ขณะที่ธุรกิจ B2B อาจสูงถึง 10% สำหรับใครที่อยากรู้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ Conversion Rate ของแต่ละอุตสาหกรรม สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ “Conversion Rate คืออะไร ?”
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ Conversion Rate
การเพิ่ม Conversion Rate ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการให้ความสำคัญกับปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้
1. การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI) ที่ดี
เริ่มต้นจากพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือการออกแบบเว็บไซต์ให้มีทั้งประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ใช้งานง่ายและส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (UI) ที่สวยงาม เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความประทับใจแรกให้แก่ผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางเมนูที่เป็นระเบียบ การเลือกใช้สีและฟอนต์ที่อ่านง่าย รวมถึงการออกแบบการนำทางภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ใช้
การสร้างประสบการณ์ผู้ใช้และส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (UX/UI) ที่ดี เริ่มต้นจากพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือการออกแบบเว็บไซต์ให้มีทั้งประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ใช้งานง่ายและส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ (UI) ที่สวยงาม เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความประทับใจแรกให้แก่ผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางเมนูที่เป็นระเบียบ การเลือกใช้สีและฟอนต์ที่อ่านง่าย รวมถึงการออกแบบการนำทางภายในเว็บไซต์ให้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ใช้
2. การพัฒนาคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) ที่มีประสิทธิภาพ
เมื่อผู้ใช้รู้สึกดีกับการใช้งานภายในเว็บไซต์ สิ่งสำคัญถัดมาคือการมี CTA ที่โดดเด่นและน่าสนใจ ซึ่งต้องเริ่มจากการเลือกใช้คำที่กระตุ้นการตัดสินใจ พร้อมทั้งออกแบบปุ่มให้สะดุดตาและจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสม
3. การปรับปรุงประสิทธิภาพหน้า Landing Page
นอกจากนี้ การมีหน้า Landing Page ที่มีประสิทธิภาพก็เป็นอีกกุญแจสำคัญ เพราะเป็นจุดแรกที่ผู้ใช้จะพบเจอ จึงต้องนำเสนอข้อมูลที่ตรงประเด็น ดึงดูดความสนใจ และที่สำคัญคือต้องดาวน์โหลดได้อย่างรวดเร็ว เพราะทุกวินาทีที่ช้าลงอาจหมายถึงโอกาสในการสูญเสียลูกค้าไป
4. การออกแบบให้รองรับการใช้งานบนมือถือ
สุดท้าย ในยุคที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านสมาร์ตโฟน การทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่การแสดงผลที่เหมาะสมกับขนาดหน้าจอ การจัดวางปุ่มและเมนูที่ใช้งานง่ายบนหน้าจอสัมผัส ไปจนถึงการทำให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดได้เร็ว
9 เทคนิคเพิ่ม Conversion Rate
จะเห็นได้ว่า Conversion คือหัวใจสำคัญที่เพิ่มรายได้และกำไรให้ธุรกิจ เราเลยขอรวบรวม 9 เทคนิคเพิ่ม Conversion Rate ที่ใช้ได้จริงในทุกธุรกิจมาแนะนำ ดังนี้
1. ปรับปรุง UX/UI ของเว็บไซต์
ถ้าเว็บฯ โหลดช้า ผู้ใช้จะรู้สึกเบื่อและอยากกดออก อาจนำไปสู่การเสียโอกาสเพิ่ม Conversion ได้ ดังนั้น จึงควรปรับปรุงให้หน้าเว็บฯ ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น ทั้งยังจะต้องออกแบบให้ใช้งานง่าย และจัดวางองค์ประกอบสำคัญ เช่น ตำแหน่งปุ่ม Call-to-Action (CTA) ให้โดดเด่น นอกจากนี้ ยังควรดีไซน์ให้รองรับการใช้งานผ่านมือถือและแท็บเล็ต เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ได้ง่ายจากทุกอุปกรณ์
2. เขียน CTA ที่ดึงดูด
เมื่อเว็บฯ ใช้งานง่ายแล้ว สิ่งสำคัญถัดมาคือการมี CTA ที่โดนใจ โดย CTA หรือปุ่มเชิญชวนเป็นตัวชี้ชะตาการตัดสินใจซื้อเลยก็ว่าได้ ดังนั้น จึงต้องออกแบบให้น่าคลิกที่สุด โดยเลือกใช้คำที่กระตุ้นการตัดสินใจ เช่น “รับข้อเสนอสุดพิเศษตอนนี้” “เริ่มใช้งานฟรี 7 วัน” หรือ “จองด่วน ! เหลือเพียง 5 ที่นั่ง” เพราะคำเหล่านี้จะสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและไม่อยากพลาดโอกาส ส่วนตำแหน่งก็ต้องวางให้สะดุดตา เช่น ส่วนบนของหน้าเว็บฯ หรือท้ายเนื้อหาที่น่าสนใจ โดยใช้ขนาดที่มองเห็นได้ง่ายแต่ไม่บดบังเนื้อหาส่วนอื่น ๆ
3. เพิ่มความน่าเชื่อถือ
นอกจาก CTA ที่ดึงดูดแล้ว การสร้างความเชื่อมั่นก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยแนะนำให้เริ่มจากการแสดงรีวิวจริงจากลูกค้าที่เคยใช้สินค้า ซึ่งควรเป็นรีวิวที่มีทั้งข้อดีและข้อควรปรับปรุง เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ จากนั้นต้องระบุนโยบายรับประกันให้ชัดเจน เช่น รับคืนสินค้าภายใน 30 วัน หรือเปลี่ยนสินค้าฟรีถ้ามีปัญหา และที่ขาดไม่ได้คือการแสดงเครื่องหมายความปลอดภัยอย่าง SSL ให้เด่นชัด เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าข้อมูลและการชำระเงินที่เกิดขึ้นมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง
4. ใช้ A/B Testing
เมื่อมีองค์ประกอบพื้นฐานครบแล้ว ขั้นต่อไปคือการทดสอบว่าอะไรได้ผลจริงด้วยการทำ A/B Testing โดยวิธีคือเราจะทำการทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ หลายเวอร์ชันพร้อมกัน เช่น ลองเปลี่ยนสีปุ่ม CTA จากสีฟ้าเป็นสีส้ม หรือย้ายตำแหน่งรูปภาพจากซ้ายไปขวา เพื่อดูว่าแบบไหนที่ได้ยอดคลิกดีกว่ากัน จากนั้นเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์และเลือกใช้เวอร์ชันที่ให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้ปรับปรุงเว็บไซต์ได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น แถมยังมีข้อมูลมายืนยันด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเวิร์กสำหรับการเพิ่ม Conversion ด้วย
5. ปรับแต่งเนื้อหาตามกลุ่มเป้าหมาย
หลังจากรู้แล้วว่าองค์ประกอบไหนเวิร์กจากการทำ A/B Testing ก็ถึงเวลาปรับให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Personalisation ที่ช่วยให้เรานำเสนอสินค้าได้ตรงใจผู้ใช้แต่ละคน เช่น ถ้าลูกค้าชอบดูสินค้าแนวสปอร์ต เราก็จะแนะนำรองเท้าวิ่งหรือชุดออกกำลังกายก่อน หรือถ้าเคยซื้อเสื้อผ้าเด็ก ก็จะโชว์สินค้าสำหรับคุณแม่และเด็กเป็นหลัก นอกจากนี้ เรายังสามารถทำ Landing Page เฉพาะแต่ละแคมเปญ เช่น ทำหน้าพิเศษสำหรับโปรโมชันวันแม่ หรือเทศกาลปีใหม่ ทำให้การสื่อสารตรงจุดและเพิ่มโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น
6. ปรับปรุงกระบวนการชำระเงิน
แม้เราจะมีคอนเทนต์ที่ดี แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เสียยอดขายคือลูกค้าทิ้งตะกร้าระหว่างชำระเงิน ดังนั้น เราจึงต้องทำให้ระบบง่ายและเร็วที่สุด โดยเพิ่มตัวเลือก Guest Checkout ให้ซื้อได้โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก พร้อมรองรับการชำระเงินทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต โอนเงิน หรือ e-Wallet อีกทั้งต้องแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้เห็นชัดตั้งแต่แรก และที่สำคัญคือทุกขั้นตอนต้องทำได้ไม่เกิน 3 คลิก เพื่อให้ลูกค้าจ่ายเงินได้อย่างราบรื่นจนปิดการขายสำเร็จ
7. ใช้ Remarketing ตามจีบลูกค้า
Remarketing เป็นเทคนิคการตามติดลูกค้าที่เคยสนใจแต่ยังไม่ซื้อ โดยเราสามารถใช้ Retargeting Ads แสดงโฆษณาสินค้าที่พวกเขาเคยดู หรือส่งอีเมลแจ้งโปรโมชันพิเศษ เพื่อดึงพวกเขากลับมาปิดการขาย เพราะคนกลุ่มนี้มีโอกาสซื้อสูงกว่าลูกค้าใหม่ถึง 70% นอกจากนี้ ยังควรส่งคอนเทนต์ที่มีประโยชน์หรือข้อเสนอที่น่าสนใจ เพื่อให้แบรนด์ยังอยู่ในใจลูกค้าเสมอ
8. จัดโปรโมชันให้โดนใจ
การมอบส่วนลดหรือของแถมสำหรับลูกค้าใหม่เป็นตัวกระตุ้นการตัดสินใจที่ได้ผลเสมอ โดยเราควรเริ่มจากโปรฯ แรกเข้าที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลด 20% หรือส่งฟรี ! จากนั้นต่อด้วยระบบสะสมแต้มและสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำและเกิดความผูกพันกับแบรนด์ในระยะยาว
9. วิเคราะห์และพัฒนาต่อเนื่อง
สุดท้าย การใช้ Google Analytics เพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะจะทำให้เราเข้าใจว่าลูกค้าชอบอะไร ติดปัญหาตรงไหน และควรปรับปรุงส่วนใด ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับอัตราการคลิก เวลาที่ใช้บนเว็บฯ รวมถึงจุดที่ผู้ใช้มักออกจากเว็บฯ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ Conversion Rate เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์จากการเพิ่ม Conversion Rate ที่นักการตลาดต้องรู้
การเพิ่ม Conversion Rate ไม่เพียงแต่ช่วยเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในหลากหลายมิติ โดยจากการศึกษาของ HubSpot พบว่า การเพิ่ม Conversion Rate เพียง 1% สามารถเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจได้มากถึง 7-12% โดยเฉลี่ย ลองมาดูกันว่า มีอะไรอีกบ้างที่ธุรกิจของคุณจะได้รับหาก Conversion Rate เพิ่มมากขึ้น
1. ลดต้นทุนการตลาดต่อหัว (Cost Per Acquisition)
เมื่อ Conversion Rate สูงขึ้น ประสิทธิภาพการใช้งบประมาณการตลาดก็จะดีขึ้นตามไปด้วย โดยธุรกิจสามารถประหยัดงบโฆษณาได้มากถึง 25-30% ซึ่งส่งผลให้ ROI ของแคมเปญการตลาดดีขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ อีกทั้งยังพบว่าการเพิ่มของ Conversion Rate ให้ความคุ้มค่ามากกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 5-7 เท่า
2. เพิ่มประสิทธิภาพการขาย
การมี Conversion Rate ที่ดีจะช่วยให้กระบวนการขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถลดระยะเวลาปิดการขายได้เร็วขึ้นถึง 35% อีกทั้งยังเพิ่มโอกาส Cross-sell และ Up-sell ได้มากถึง 40% ที่สำคัญคือช่วยสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพซึ่งมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำสูงถึง 65% อีกด้วย
3. เชิงลึกที่มีค่า
ในระหว่างกระบวนการเพิ่ม Conversion Rate ธุรกิจจะได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์ ทำให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งสามารถนำไปใช้พัฒนาสินค้าและบริการ นอกจากนี้ยังช่วยให้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของกระบวนการขาย รวมถึงสามารถทำนายเทรนด์และความต้องการของตลาดได้แม่นยำมากขึ้น
4. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
เมื่อธุรกิจสามารถทำ Conversion Rate ได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ก็จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ที่สำคัญเมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีก็จะช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง นำไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดของกลุ่มสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
5. ผลดีระยะยาวต่อธุรกิจ
การเพิ่ม Conversion Rate ยังส่งผลดีในระยะยาวต่อธุรกิจ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของ Customer Lifetime Value (CLV) ที่แสดงให้เห็นถึงมูลค่าของลูกค้าที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการสูญเสียลูกค้า เนื่องจากพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่ครั้งแรก และที่สำคัญคือเพิ่มโอกาสในการได้รับการบอกต่อจากลูกค้าที่พึงพอใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจในระยะยาวได้
สรุป
การเพิ่ม Conversion Rate ไม่ใช่เพียงเทคนิคทางการตลาดทั่วไป แต่เป็นทักษะสำคัญที่นักการตลาดยุคใหม่ต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจในระยะยาวอีกด้วย
จากประสบการณ์ดูแลแบรนด์ชั้นนำหลายร้อยแบรนด์ของ Primal เราคือ Digital Agency ที่พบว่าธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่ม Conversion Rate อย่างจริงจัง มักจะมีอัตราการเติบโตที่เร็วกว่าคู่แข่งถึง 3-4 เท่า ด้วยเหตุนี้ ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราที่มีประสบการณ์ในการวิเคราะห์และปรับปรุง Conversion Rate มาอย่างยาวนาน จึงพร้อมช่วยยกระดับธุรกิจของคุณด้วยกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ
อยากรู้ว่าธุรกิจของคุณจะเติบโตได้มากแค่ไหน กรอกฟอร์มปรึกษาเราได้เลยวันนี้
Join the discussion - 0 Comment