Bidding Strategy กลยุทธ์ที่นักทำโฆษณา Facebook ไม่รู้ไม่ได้!
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ ทำให้พ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่หันมาแข่งขันทำธุรกิจออนไลน์กันมากขึ้น โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยผลักดันให้สินค้าหรือแบรนด์เข้าไปอยู่ในสายตาของผู้บริโภคได้ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้น “กลยุทธ์การทำแคมเปญโฆษณาบน Facebook Ads” ซึ่งแน่นอนว่านักการตลาดหลายคนที่ทำแคมเปญบนแพลตฟอร์มนี้น่าจะคุ้นเคยกับ Bidding Strategy หรือการตั้งค่าแคมเปญเพื่อควบคุมการใช้งบประมาณเป็นอย่างดี เพราะสิ่งนี้เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่ช่วยสร้างผลลัพธ์การทำโฆษณาอย่างที่ได้วางแผนไว้ รวมถึงยังจะช่วยให้งบประมาณไม่บานปลายอีกด้วย
แต่กลยุทธ์ Bidding Strategy มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบให้เลือกใช้ แล้วนักทำโฆษณาจะรู้ได้อย่างไรว่าควรเลือกใช้รูปแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับแคมเปญโฆษณาของตนเองมากที่สุด วันนี้เราจึงขอรวบรวมสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Bidding Strategy มาฝากกัน
Table of Contents
Bidding Strategy กลยุทธ์ประมูลราคาที่ทำให้โฆษณาเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าคู่แข่ง
Bid Strategy คือกลยุทธ์การประมูลราคา หรือกลยุทธ์การเสนอราคาประมูล (Bidding) สำหรับการลงโฆษณาที่สามารถทำได้ทั้งในแคมเปญ Google Ads และ Facebook Ads เนื่องจากการทำแคมเปญโฆษณาส่งไปยังกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่มีเพียงแค่แบรนด์เราเท่านั้น แต่ยังมีแบรนด์คู่แข่งที่ทำแคมเปญในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย อีกทั้งยังมีกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียงกัน หรือแม้แต่ทำการยิงโฆษณาในช่วงเวลาเดียวกัน การใช้กลยุทธ์ Bidding Strategy จึงเป็นการควบคุมการใช้งบประมาณเพื่อให้โฆษณาของเราถูกส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งค่าไว้ได้มากกว่าคู่แข่ง รวมถึงได้ผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์แคมเปญอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Facebook Bid Strategy คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม?
Bid Strategy Facebook คือกลยุทธ์การเสนอราคาโฆษณาที่ทำบนแพลตฟอร์ม Facebook โดยมีหลักการเดียวกันกับกลยุทธ์ Bidding Strategy บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยมุ่งเน้นการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าเพื่อให้เกิดผลลัพธ์การโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เนื่องจาก Facebook มีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกสูงเกือบ 3,000 ล้านราย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแพลตฟอร์มนี้ถึงเป็นช่องทางทำโฆษณาที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ในวงกว้าง นอกจากนี้การทำแคมเปญโฆษณาของ Facebook Ads ก็ไม่ได้ซับซ้อนจนเกินไป สามารถสร้างได้ตั้งแต่แคมเปญเล็กไปจนถึงแคมเปญใหญ่ และสามารถเริ่มทำโฆษณาได้ แม้มีงบประมาณต่อวันเพียง 30 บาท!
กลยุทธ์ Bidding Strategy ถือเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของการทำโฆษณาบน Facebook เลยก็ว่าได้ โดย Facebook Ads เองก็มีให้เลือก Bid หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของธุรกิจหรือแคมเปญที่กำหนดเอาไว้
ทำไม Bidding Strategy ถึงสำคัญ?
แน่นอนว่าการทำธุรกิจ สิ่งสำคัญที่ถือเป็นตัววัดความสำเร็จอย่างหนึ่งก็คงหนีไม่พ้น “ผลตอบแทนและกำไรที่คุ้มค่าต่อการลงทุน” ซึ่งการทำโฆษณา Facebook Ads ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหากไม่สามารถควบคุมงบประมาณจนค่าใช้จ่ายสูงเกินกว่าเงินลงทุนมากไป ก็อาจไม่สามารถนับได้ว่าแคมเปญโฆษณานั้น ๆ ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น แบรนด์ต้องการทำโฆษณา แต่เสนอราคาประมูลไว้ต่ำเกินไป หากมีคู่แข่งยิงโฆษณาสินค้าใกล้เคียงกันพร้อมกับเสนอราคาไว้สูงกว่า ก็อาจทำให้โฆษณาของเราประมูลแพ้ ส่งผลให้ Facebook เลือกที่จะโชว์โฆษณาของคู่แข่งมากกว่าได้ หรือในทางกลับกัน หากแบรนด์ไม่ได้วางแผนกำหนดต้นทุนราคาโฆษณาเอาไว้ ก็อาจทำให้ Facebook รันงบโฆษณาของเราให้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนงบโฆษณาของเราบานปลาย และเกิดความเสียหายต่อธุรกิจในที่สุด
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักการตลาดมือใหม่จึงควรรู้จักหลักการ Bidding Strategy ของ Facebook Ads เอาไว้ เพื่อที่จะได้วางแผนให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ
หลักการของ Bidding Strategy ที่นักทำโฆษณาต้องรู้!
แม้การทำ Facebook Ads จะไม่ได้ซับซ้อนมากมาย แต่สำหรับมือใหม่ การทำ Bidding Strategy ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากเช่นกัน เพราะผู้ที่เริ่มทำใหม่ ๆ อาจต้องเจอกับคำถามว่ากลยุทธ์ Bid Strategy ควรวางแผนอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ และให้อยู่ในงบประมาณที่ตั้งไว้
แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับกลยุทธ์นี้ให้มากขึ้นกันก่อน ด้วยรูปแบบการทำ Bidding Strategy ที่จะมีอยู่ทั้งหมด 4 รูปแบบ เพื่อให้มือใหม่หัดทำได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
1. Lowest Cost
Lowest Cost คือ Bidding Strategy รูปแบบที่เราไม่ได้กำหนดราคา Bid แต่ให้ Facebook ทำการ Optimise ต้นทุนและส่งโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายตามคุณภาพและความเหมาะสมแทนเรา
Bidding Strategy รูปแบบนี้จะเหมาะสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์เสนอราคา Bid มากนัก เพราะการที่ระบบ AI ของ Facebook ช่วย Optimise จะทำให้นักทำโฆษณาไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์วางแผนกำหนดต้นทุนเอง นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจนำมาเป็นข้อมูลคำนวณค่า Average และค่า Cost Per Result เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการตั้งราคา Bid ด้วยตัวเองในครั้งต่อไป
2. Cost Cap
Cost Cap คือการกำหนดต้นทุนเงินที่จะใช้ เพื่อควบคุมต้นทุนโฆษณาไม่ให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยนักการตลาดสามารถกำหนดราคาเฉลี่ย Cost Per Result ที่ต้องการลงไป โดย Facebook จะทำการรันโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมาย โดยผลลัพธ์ที่ได้จะมีต้นทุนราคา Cost Per Result ใกล้เคียงกับราคาที่ตั้งค่าไว้มากที่สุด
Bidding Strategy รูปแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ซื้อโฆษณามาสักพักแล้ว เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ข้อมูล Cost Per Result ที่เคยเกิดขึ้นในแคมเปญครั้งก่อน ๆ มาตั้งไว้เป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งในบางครั้ง เมื่อตั้งค่า Cost Cap ไว้ ผลลัพธ์ที่ได้อาจใช้เงินน้อยกว่าราคา Cost Per Result เฉลี่ยที่เคยตั้งไว้ก็ได้
3. Bid Cap
Bid Cap คือการเสนอราคา Bid สูงสุดที่คุณยินดีจ่ายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดตามต้องการ โดย Bid Strategy รูปแบบนี้เหมาะสำหรับในกรณีที่คุณรู้ราคาค่าเฉลี่ยของ Cost Per Result ของแคมเปญที่แล้ว แต่อยากเสนอราคา Bid ใหม่เพื่อให้โฆษณามีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น ราคาค่าเฉลี่ยของ Cost Per Result แคมเปญที่แล้วอยู่ที่ 20 บาท การทำ Bid Cap คือการที่คุณเสนอราคา Bid เผื่อไว้อยู่ที่ 40 บาทซึ่งเป็นราคาสูงกว่าที่เคยจ่าย เพื่อให้คุณสามารถ Bid ราคาชนะคู่แข่ง และสามารถโชว์โฆษณาไปที่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ Facebook ก็จะช่วยควบคุมค่าโฆษณาของคุณไม่ให้จ่ายเกินจากราคา Bid ที่ตั้งเอาไว้ และบางครั้งถ้าโฆษณามีคุณภาพมากพอและคู่แข่งไม่ได้เสนอราคาสูงจนเกินไป Cost Per Result ที่ได้ก็อาจราคาถูกกว่าค่า Bid ที่ตั้งไว้ได้เหมือนกัน
4. Target Cost
Target Cost คือ การหาผลลัพธ์ตามต้นทุนต่อเป้าหมายที่คุณกำหนดไว้ ดูเผิน ๆ อาจคล้ายคลึงกับ Cost Cap แต่ความแตกต่างจะอยู่ที่ Target Cost จะตั้งต้นที่ทุนตามเป้าหมายของ Conversion เช่น แคมเปญ Conversion ที่ตั้งเป้าหมายเป็นยอดซื้อ (Purchase) ปกติมี Cost Per Result อยู่ที่ 100 บาท ก็ต้องกำหนด Target Cost ไปเลยว่าให้ Facebook หาผลลัพธ์ที่มียอดซื้อ (Purchase) อยู่ที่ 100 บาท เพื่อให้ต้นทุนต่อเป้าหมายตรงตามที่กำหนดไว้ให้มากที่สุด ในขณะที่ Cost Cap จะไม่ได้กำหนดให้ Facebook หาผลลัพธ์ที่เที่ยงตรงขนาดนั้น เพียงแค่ให้ได้ราคาใกล้เคียงกับต้นทุนที่จะใช้ เพื่อควบคุมต้นทุนโฆษณาไม่ให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ก็เพียงพอแล้ว
สรุป
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ Bidding Strategy ไม่ได้มีหลักเกณฑ์เฉพาะตายตัว เนื่องจากผลลัพธ์ความสำเร็จขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และประเภทของธุรกิจมากกว่า แต่สำคัญที่ นักการตลาดออนไลน์อาจต้องทดลองวางแผน เรียนรู้จากผลลัพธ์การทำแคมเปญในแต่ละครั้ง เพื่อที่จะหาวิธีที่ใช่และเหมาะสมกับธุรกิจของตนเองมากที่สุด
อย่างไรก็ดี หากการลองผิดลองถูกด้วยตนเองเป็นวิธีที่เสี่ยงสำหรับคุณเกินไป ลองให้ Primal Digital Agency ของเราช่วย เรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ ที่จะช่วยซื้อโฆษณาพร้อมวางกลยุทธ์ให้กับธุรกิจของคุณอย่างครบวงจร บอกเลยว่าผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพแน่นอน
Join the discussion - 0 Comment