จดด่วน ! รวมลิสต์ 4 เครื่องมือสร้าง Landing Page ที่ดีที่สุด
ในการทำเว็บไซต์ธุรกิจ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากและจะขาดไปไม่ได้เลย คือ Landing Page เป็นหน้าเพจเดี่ยวที่ลูกค้าซึ่งคลิกลิงก์โฆษณาจะสามารถเข้าถึงได้ทันที อีกทั้ง Landing Page ยังเป็นหน้าที่เน้นให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการตัดสินใจลงมือทำอะไรบางอย่างที่เราต้องการจากผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Conversion
แต่การจะทำให้ลูกค้ารู้สึกสนใจในแบรนด์ของเราจนเกิดการลงมือทำอะไรสักอย่างได้นั้น ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่แสดงออกผ่านหน้า Landing Page ก็จำเป็น บางคนอาจเคยประสบปัญหา ทำ Landing Page ก็แล้ว ยิงโฆษณาก็แล้ว ทำไมยอด Conversion ยังไม่ถึงเป้าเสียที นั่นอาจเป็นเพราะ Landing Page ของเรายังไม่น่าสนใจหรือน่าดึงดูดมากพอที่จะทำให้เกิด Conversion เนื่องจาก Landing Page ก็เปรียบเสมือนหน้าร้านขายของ ซึ่งเป็นด่านแรกที่วัดใจลูกค้าว่าจะเดินเข้ามาหรือไม่เดินเข้ามาซื้อนั่นเอง
ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจของทุกคนมีหน้า Landing Page ที่สวยงาม บทความนี้ได้รวบรวม 4 เครื่องมือสร้าง Landing Page ที่ดีที่สุดมาไว้ให้แล้ว สำหรับใครที่ยังมีความกังวลว่าเขียนโปรแกรมไม่เป็น งบประมาณก็ไม่พอจ้างฟรีแลนซ์ จะทำได้ไหม บอกเลยว่าง่ายนิดเดียว เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนสามารถสร้าง Landing Page โดยไม่ใช้โคด อาศัยแค่ความคิดสร้างสรรค์ก็ทำได้แล้ว !
อ่านเพิ่มเติม : LANDING PAGE คืออะไร สำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์ขนาดไหน
Table of Contents
4 เครื่องมือสร้าง Landing Page ใช้งานง่าย ไม่ต้องเขียนโคด
Unbounce
หากพูดถึงเครื่องมือสร้าง Landing Page ยอดนิยม คงจะพลาด Unbounce ไปไม่ได้เลย เพราะเครื่องมือนี้มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้เราสามารถสร้าง Landing Page โดยไม่ใช้โคดได้อย่างสวยงาม มีคุณภาพ และมีความเป็นมืออาชีพพอที่จะเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น โดยฟีเจอร์หลัก ๆ ของ Unbounce ได้แก่
- มีเทมเพลตสวย ๆ ให้เลือกถึง 100 แบบด้วยกัน ส่วนวิธีการใช้งานก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่เราใช้วิธีลากและวาง (Drag&Drop) เพื่อปรับแต่งหน้า Landing Page ให้เป็นอย่างที่ต้องการ เท่านี้ก็สามารถสร้างหน้า Landing Page โดยไม่ใช้โคดแม้แต่ตัวเดียวได้แล้ว
- สามารถวางข้อความ รูปภาพ ปุ่ม หรือของตกแต่งต่าง ๆ ตรงส่วนไหนก็ได้ตามใจชอบ
- สำหรับเว็บไซต์ใดที่ยังไม่มี Hosting สามารถ Host กับ Unbounce ได้ทันทีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
- หลายคนคงเคยเข้าเว็บไซต์แล้วเห็นกล่องสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ ที่เป็นโฆษณาเด้งขึ้นมาบังหน้าเว็บฯ สิ่งนี้เองที่เรียกว่า Pop Ups ซึ่งมีหน้าที่ในการดึงดูดความสนใจของผู้ที่เข้ามายังเว็บไซต์ โดย Unbounce จะมีฟีเจอร์นี้ให้เราสามารถใช้ Pop Ups ในการแจ้งโปรโมตสินค้าคอลเล็กชันใหม่ แจ้งโปรโมชันพิเศษ หรือแจ้งข่าวสารที่พลาดไม่ได้แก่ลูกค้า
- มี Sticky Bars หรือกล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ด้านบนหรือด้านล่างของเว็บไซต์ หน้าที่เหมือนกับ Pop Ups
- มีฟีเจอร์ Real-Time Conversion Analytics ช่วยเก็บข้อมูลสถิติของผู้เข้าชมเว็บไซต์ ยอดขาย ยอด Conversion ฯลฯ ซึ่งเราสามารถนำไปใช้วิเคราะห์แผนการตลาดต่อไปได้
- มีฟีเจอร์ Auto Image Optimizer ช่วยปรับแต่งรูปภาพให้อัตโนมัติ โดยขนาดไฟล์จะถูกบีบอัดให้เล็กลงเพื่อให้เว็บไซต์โหลดได้ไวขึ้น แต่คุณภาพของรูปยังใกล้เคียงกับต้นฉบับ
- หน้า Landing Page จะปรับตามอุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้ มีความเป็น Mobile-Friendly
นอกจากนี้ Unbounce ยังสามารถเชื่อมต่อกับ WordPress ได้ง่าย ๆ ผ่าน WP Landing Page Plugin และเชื่อมกับเครื่องมือ CRM ได้อีกมากกว่า 100 ตัว ที่สำคัญ คือ ฟีเจอร์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือแพ็กเกจการใช้งานแบบฟรี ! แต่ถ้าต้องการแบบพรีเมียมกว่านี้ก็มีแบบเสียค่าใช้จ่ายให้เลือกเช่นกัน โดยจะเริ่มต้นที่ประมาณ 2,400 บาทไปจนถึง 9,000 บาทต่อเดือน และมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามราคาของแพ็กเกจ
ทดลองใช้งาน Unbounce : https://unbounce.com/product/landing-pages/
Wix
อีกหนึ่งเครื่องมือสร้าง Landing Page ยอดนิยมที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ Wix เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่หลากหลายที่สุดเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยเราสามารถสร้างอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นบล็อกส่วนตัว ไปจนถึงหน้า Landing Page ของธุรกิจ
ในการใช้งานเริ่มต้น Wix ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น เราจะไม่สามารถเชื่อมต่อโดเมนที่กำหนดเองได้ และจะมีโฆษณาในทุก ๆ หน้าเพจที่เราสร้าง ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีของการสร้างหน้า Landing Page แม้แต่น้อย ดังนั้น หากใช้ Wix แพ็กเกจแบบพรีเมียมจะคุ้มกว่าแบบฟรี เพราะจะทำให้การแสดงหน้า Landing Page ดูเป็นมืออาชีพมากกว่า แต่ข้อดีของ Wix คือใช้งานง่าย มีของตกแต่งให้เลือกเยอะ เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำเว็บไซต์ และต้องการสร้างหน้า Landing Page โดยไม่ใช้โคด
ทั้งนี้ ฟีเจอร์หลัก ๆ เบื้องต้นของ Wix จะประกอบไปด้วย
- มีเทมเพลตสำหรับหน้า Landing Page ให้เลือกมากกว่า 30 เทมเพลต หากรวมกับเทมเพลตหน้าอื่น ๆ จะมีมากกว่า 500 เทมเพลต
- มีหมวดหมู่เทมเพลตหน้า Landing Page โดยเฉพาะ สำหรับธุรกิจหลากหลายประเภทที่มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน เช่น หน้าเปิดตัว หน้าการสัมมนาออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ หรือหน้า Coming Soon เป็นต้น
- มีแอปพลิเคชันมากกว่า 250 แอปฯ โดยเราสามารถหาสิ่งที่ต้องการได้ใน Wix App Store หรือเรียกดูตามหมวดหมู่ เช่น การวิเคราะห์ แชต การตลาดอีเมล เป็นต้น แต่ถ้าเป็นแบบฟรีจะมีข้อจำกัดสำหรับหมวดหมู่บางประเภท
- สามารถเพิ่มองค์ประกอบต่าง ๆ ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ ปุ่ม รูปภาพ และของตกแต่งอื่น ๆ โดยจะมีตัวเลือกมากมายแม้แต่แบบใช้งานฟรีก็ตาม
- มีฟีเจอร์ไลฟ์แชต ให้เราสามารถเพิ่มเข้าไปบนหน้า Landing Page เพื่อตอบคำถามผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้ โดยสามารถใช้ได้ทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าใช้จ่าย
ทดลองใช้งาน Wix : https://th.wix.com/
Webflow
Webflow เป็นเครื่องมือสร้างหน้า Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ ฟีเจอร์ครบครัน และใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการเขียนโคดมาก่อน เพราะคอนเซปต์หลักของ Webflow คือการลดปัญหาความยุ่งยากของการใช้โคด โดยหน้าตาของเครื่องมือและปุ่มการทำงานจะมีลักษณะคล้ายกับ Photoshop และ Illustrator
Webflow มีเทมเพลตฟรีให้เลือกใช้มากมาย ซึ่งเราสามารถเลือกและแก้ไขหน้า Landing Page ของตนเองได้ตามใจชอบ เช่น หากต้องการสร้างปุ่มหรือรายการ ก็สามารถเลือกได้ในแถบ Basic หรือต้องการสร้างข้อความทั่วไป ก็มีให้เลือกรูปแบบการจัดวางในแถบ Typography โดยจะเป็นแบบ Block Quote หรือ Text Link ก็ได้ หรือหากอยากเพิ่มรูปภาพ วิดีโอ ก็สามารถเพิ่มได้ในแถบ Media หรือจะแนบ Hotlink จาก YouTube ก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ เรายังสามารถปรับแต่งดีไซน์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ได้เอง ไม่ว่าจะเป็นขนาด สี ฟอนต์ พื้นหลัง กรอบ หรือการใส่เอฟเฟกต์ และถ้ายังไม่ถูกใจเทมเพลตฟรีที่มีอยู่ ก็สามารถซื้อเทมเพลตเพิ่มได้ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราว ๆ 414 บาทต่อเดือนเท่านั้น แต่หากอยากได้ CMS Collection ด้วย จะต้องอัปเกรดแพ็กเกจเป็น CMS ที่ราคาประมาณ 552 บาทต่อเดือน
ทดลองใช้งาน Webflow : https://webflow.com/
Instapage
Instapage เป็นเครื่องมือสร้าง Landing Page ที่มีฟีเจอร์หลากหลายไม่แพ้เครื่องมือด้านบน ๆ ไม่ต้องเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ไม่ต้องมีความรู้เรื่องโคดก็สามารถใช้ได้ เพราะตัวเครื่องมือถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ด้วยระบบ Drag&Drop คล้าย ๆ กับ Unbounce โดย Instapage จะมีฟีเจอร์หลัก ๆ ดังนี้
- มีเทมเพลตให้เลือกใช้มากกว่า 500 แบบ และเป็นแบบ Mobile-Friendly ทั้งหมด ไม่ต้องมานั่งปรับแต่งเอง
- เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ด้วยการใช้ AMP หรือ Thor Render Engine
- ใช้ A/B Testing เพื่อทดสอบการเปลี่ยนแปลงบน Landing Page ว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากัน
- มีเทคโนโลยี DTR ช่วยให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์เห็นหน้า Landing Page ตามความต้องการของแต่ละคน
- ช่วยซิงค์โฆษณาเข้ากับหน้า Landing Page บน Instapage ได้
- สามารถเก็บข้อมูลได้ว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์ใช้เวลาไปกับส่วนไหนของหน้า Landing Page เยอะที่สุด
- มีฟีเจอร์ Multi-Step Forms ช่วยสร้างฟอร์มไว้เก็บข้อมูลลูกค้า เพื่อให้ค้นหาได้สะดวก
- มี SSL Encryption ฟรี
- เชื่อม Landing Page เข้ากับโปรแกรม CRM ต่าง ๆ ได้ เช่น Hubspot เป็นต้น
- เชื่อมต่อกับ WordPress ได้ด้วย Instapage Plugin
สำหรับค่าใช้จ่ายของ Instapage จะเริ่มต้นที่ประมาณ 6,800 บาทต่อเดือน ซึ่งแม้จะดูเป็นเครื่องมือที่ค่าใช้จ่ายสูง แต่ต้องบอกความความคุ้มของ Instapage นั้นคู่ควรกับเว็บไซต์ทุกประเภทมาก ๆ เพราะมีฟีเจอร์อำนวยความสะดวกมากมายแบบที่เราไม่ต้องไปเสียค่าใช้จ่ายยิบย่อยเพิ่ม และที่สำคัญ คือ จะไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มถ้ามี Conversion หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์เกินจากที่กำหนดด้วย ซึ่งต่างจากเครื่องมืออื่น ๆ
ทดลองใช้งาน Instapage : https://instapage.com/
สรุป
และนี่ก็คือเครื่องมือสร้าง Landing Page ที่ดี ใช้งานง่าย และคุ้มค่าที่สุดที่เราคัดมาแล้ว เหมาะสำหรับทั้งมืออาชีพ และผู้เริ่มต้นที่ยังไม่มีพื้นฐานด้านการออกแบบหน้าเพจเท่าไรนัก ตลอดจนผู้ที่ต้องการสร้าง Landing Page โดยไม่ใช้โคด ทั้ง 4 เครื่องมือนี้น่าจะตอบโจทย์ที่สุด เพราะเพียงแค่เรามีฝีมือการตกแต่งให้ดูสวยงามเสียหน่อย ก็จะได้หน้า Landing Page ที่ดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาสนใจแบรนด์ของเราได้แล้ว !
หากต้องการความช่วยเหลือด้านใดก็ตามในการประกอบธุรกิจออนไลน์ Primal Digital Agency บริษัทรับทำการตลาดชั้นนำของไทย มีผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมสนับสนุนและแก้ไขปัญหาที่คุณกำลังประสบได้เสมอ ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาได้เลยวันนี้
Join the discussion - 0 Comment